คงมีผู้ร่วมชาติไทยหลายๆ คน ที่นั่งชมอยู่ข้างเวทีการเมือง ที่ทั้งเขียนบท กำกับ และแสดงเอง โดยชายชื่อประยุทธ์ จันทร์โอชา มาเป็นเวลาเกือบ 5 ปี จนมาบัดนี้ กำลังจะเข้าสู่องก์ต่อไป หลายๆ ท่านก็คงรู้สึกเบื่อหน่าย ไม่อยากทนชมต่อแล้ว จนมีคำถามระงมกันในใจว่าถึงเวลาที่ฉันควรจะเดินออกไปอยู่ห่างๆ จากเวทีนี้ไหม? (ศัพท์ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Sit out แปลตรงๆ ตัวว่า ไปนั่งอยู่ข้างนอก อยู่ไกลๆ อีกนัยหนึ่งก็คือ ไม่ขออยู่ร่วมสังฆกรรมด้วย)
สาเหตุของความคิดแบบนี้ หรือเหตุผลของการไม่อยากเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยนั้นมีอยู่หลายประการด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น
1. กฎหมายรัฐธรรมนูญ ที่ใช้เป็นกติกาบ้านเมืองนั้น ได้ถูกทีมงานคุณประยุทธ์ กำหนดกรอบสังคมการเมืองไทยให้กลายเป็นแบบลูกผสม กล่าวคือ กึ่งเผด็จการ กึ่งประชาธิปไตย หรือจะเรียกว่า ประชาธิปไตยครึ่งใบ หรือประชาธิปไตยแบบถูกกำกับการ ก็น่าจะได้ ซึ่งเปิดโอกาสให้ฝ่ายข้าราชการคือ ทหารและตำรวจ เข้ามามีบทบาททางการเมืองอย่างสูง เช่น ตำแหน่ง วุฒิสภา รวมทั้งกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ยังได้ให้ภาครัฐ (State เป็นใหญ่ผ่านระบบข้าราชการ [Bureaucracy]) มีอำนาจเหนือประชาชนพลเมืองผู้เป็นเจ้าของประเทศ เจ้าของอำนาจอธิปไตย หรือนัยหนึ่งกฎหมายรัฐธรรมนูญในวันนี้ของไทยเรา ได้ให้ความสำคัญกับองค์กรรัฐเป็นที่ตั้ง แทนที่จะเป็นประชาชนพลเมืองตามเจตนารมณ์ของระบอบประชาธิปไตย ซึ่งการนี้มีนัยของการจำกัด ควบคุม และลิดรอนสิทธิเสรีภาพของความเป็นพลเมือง
2. 5 ปีที่ผ่านมาของรัฐบาล คสช. (คณะกรรมการรักษาความสงบแห่งชาติ ซึ่งเป็นของฝ่ายกองทัพ)
2.1.มิได้มีการดำเนินการใดๆ ในเรื่องการแก้ไขปัญหาความแตกแยก ขัดแย้ง แบ่งฝักแบ่งฝ่าย การเป็นคู่อริกันอย่างล้ำลึกทางอุดมการณ์ทางการเมือง
2.2.มิได้มีการกระจายอำนาจจากส่วนกลางสู่ชนบท ไปจนถึงการกระจายเพิ่มอำนาจความรับผิดชอบในการดูแลชีวิตและอาชีพ แทนการกระจุกตัวอยู่ที่ส่วนกลาง คือ ที่เมืองหลวง ส่งผลให้เกิดการบริหารราชการที่ไร้ความชอบธรรม เต็มไปด้วยความทุจริตมิชอบต่างๆ ซึ่งนอกจากจะมิได้รับการแก้ไขแล้ว ยังหนักหน่วงขึ้นไปอีกในทุกระดับชั้น
3. สังคมไทยที่ตกอยู่ในสภาพผู้ป่วยมานาน โดยหวังว่าจะได้รับการผ่าตัดให้หายขาด จากการปฏิรูป ซึ่งในทางปฏิบัติ ก็มิได้มีการดำเนินการปฏิรูป หรือการเปลี่ยนแปลงรูปโฉมประเทศอย่างจริงจังแต่อย่างใด สิ่งที่ถูกปรับเปลี่ยน มีเพียงการเพิ่มอำนาจส่วนกลาง หรือระบบราชการ ในขณะที่เรื่องปากท้องอย่างระบบเศรษฐกิจ ก็ดันเป็นเรื่องนโยบายที่เอื้อ และสนับสนุนให้เกิดการกระจุกตัวของผลประโยชน์และความมั่งมีศรีสุขในหมู่กลุ่มทุน ที่ต่างตบเท้าเข้าหารัฐบาลกองทัพ จนกลายมาเป็น มิตรคู่คิด มิตรคู่ค้า กับองค์กร คสช. อย่างเหนียวแน่น ทำให้สังคมไทยกลายเป็นผู้ป่วยเรื้อรัง ไร้ความหวัง
4. นอกจากสังคมไทยในวันนี้ จะเป็นการป่วยติดเตียงแบบขยับไปไหนไม่ได้ ก็ยังถูกซ้ำเติมด้วยการที่ กลุ่มคณะ คสช. มุ่งจะต่ออายุ ต่ออำนาจ ของทั้งทหาร วงการธุรกิจผูกขาด ข้าราชการ และนักวิชาการ ที่สนับสนุนระบอบอำนาจนิยม ก็เท่ากับว่า อนาคตต่อไปนี้ ประเทศไทยคงยากที่จะสามารถออกจากสภาวะอำนาจกระจุกตัว ซึ่งประชาชนพลเมืองเป็นแค่เพียงเบี้ยล่างในสายตาของผู้มีอำนาจ เสมือนผู้ป่วยอาการหนัก ที่ไม่ได้รับการรักษาที่ดีแต่อย่างใด
5. เรื่องที่เป็นปัจจัยสนับสนุนความเบื่อหน่ายของประชาชนที่สุดอีกเรื่องหนึ่งก็คือ สภาพการเมืองในวันนี้ ก็ยังคงเป็นลานกิจกรรมของบรรดาพรรคการเมือง และนักการเมืองหน้าเก่าๆ ที่สร้างปัญหาเรื้อรังให้กับประเทศ แถมยังหลอกสังคมด้วยการไปดึงเอาคนหนุ่มคนสาว มาเป็นหุ่นเชิด ให้มาเล่นปาหี่การเมือง โดยทั้งนี้ มิได้มีจิตใจที่จะเข้าไปแก้ไขปัญหาบ้านเมือง กลับแต่หวังว่าจะสู้ให้ได้มาซึ่งตำแหน่งและอำนาจเท่านั้น นอกจากนั้น พรรคการเมืองทุกพรรคต่างยังไม่มีการแสดงออก หรือพิสูจน์ให้ประชาชนได้เห็นว่า พรรคของตนได้มีการปฏิรูปการบริหารจัดการภายในด้วยหลักธรรมาภิบาล และการมีส่วนร่วมจากลูกพรรคอย่างจริงจัง โดยวันนี้ พรรคส่วนใหญ่ก็ยังเป็นอุดมการณ์ในครอบครัว บางพรรคก็มิได้เป็นครอบครัวในแง่ของนามสกุล แต่ก็เป็นครอบครัวในแง่ของการอยู่กันมานาน ก็เลยมีอาการยึดมั่น ถือมั่นว่าเป็น “ของฉันแต่เพียงผู้เดียว”
ในสถานการณ์นี้ ก็เลยก่อให้เกิดมีกลุ่มที่เบื่อหน่าย มองเห็นว่าการเลือกตั้ง และการเมืองที่จะตามมานั้นไม่ได้มีสาระอันใดกับประชาธิปไตย หรือเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาสังคม และประเทศ ก็เลยอยากจะ Sit out ไม่ขอร่วมสังฆกรรมด้วย แต่ก็ยังสงวนสิทธิ์ในการวิพากษ์วิจารณ์ และรอที่จะใช้สิทธิ์ ในการขับเคลื่อนให้มีการเปลี่ยนแปลงสาระเนื้อหาของกฎหมายรัฐธรรมนูญไปเป็นสังคมเสรีประชาธิปไตยจริงๆ และผลักดันให้พรรคการเมืองเป็นพรรคประชาธิปไตยที่แท้จริง และในขณะเดียวกันก็ช่วยการเสริมสร้างความรู้และความเข้มแข็งของประชาชนพลเมืองในการแสดงตัวเป็นเจ้าของประเทศ
ทั้งนี้การ sit out ก็เป็นสิทธิเสรีภาพอย่างหนึ่ง เพื่อแสดงออกซึ่งการปฏิเสธต่อความเป็นไปที่ไม่ชอบมาพากล ไม่มีความเป็นสากล ทันสมัยกับครรลองประชาธิปไตย
โดยการ Sit out เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วย หรือไม่พึงพอใจกับกฎเกณฑ์กติกา และกับพรรคและนักการเมือง นั้นมีหลายวิธี เช่น ไม่สมัครเป็นสมาชิกพรรคใดๆ หรือถ้าเป็นอยู่แล้ว ก็อาจจะถอนตัวออกมา หนักหน่อยก็ไม่ไปใช้สิทธิ์ที่คูหาที่เลือกตั้ง (ซึ่งถ้าเป็นไปได้ ก็อย่าทำเลยสู้ไปใช้สิทธิ์ด้วยการไม่เลือกผู้สมัครใด จะได้สะท้อนความเอือมระอากับทั้งพรรค ทั้งผู้สมัครในการเมืองไทย)
อย่างไรก็ดี แม้เราไม่อาจหยุดยั้งละครการเมืองอันน่าเบื่อองก์ต่อไปได้ แต่ก็พึงระลึกไว้ว่า ผู้ใดที่ใช้วิถีทางทางการเมืองที่ไม่ถูกต้องทั้งกฎเกณฑ์กติกา โดยทั่วไปแล้วก็มักจะไปไม่รอดโดยธรรมชาติ ซึ่งเมื่อถึงจุดนั้นก็ต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไขกันเป็นธรรมดา เราในฐานะคนไทยก็คงต้องอดทนรอคอยวันนั้น แล้วก็ช่วยคิดช่วยทำกันไปเมื่อโอกาสอำนวย โดยระหว่างนี้ก็เสริมสร้างความรู้ นึกคิด ซึ่งกันและกัน และเรียกร้องแสดงท่าทีกันไป พวกเราจะได้เข้มแข็งยิ่งขึ้น พลังอำนาจก็เกิดขึ้น และจะทานและขจัดสิ่งที่ไม่ดีงามไปได้
แม้อุปสรรคจะมากมาย แต่เราคนไทยก็ต้องสู้ต่อไปได้ และด้วยความหวังนี้ จะทำให้เรามีกำลังใจมั่นคง และลูกหลานก็จะเติบโตขึ้นมาร่วมด้วยช่วยกันในการพัฒนาสังคมไทยไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย ที่มีผลประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความก้าวหน้าที่ยั่งยืน อันเนื่องมาจากประชาชนมีชีวิตที่มีอิสระเสรี และมีคุณภาพ
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี