ตามหมายกำหนดเดิม วันนี้จะรู้กันแล้วว่าพรรคไทยรักษาชาติจะได้ไปต่อหรือไม่? หลังศาลรัฐธรรมนูญจะประกาศคำตัดสินชี้ชะตากรณียุบพรรค? ขณะเดียวกันดูเหมือนจะมีการเปลี่ยนแผน
หรือไม่?สำหรับพรรคพลังประชารัฐ? ที่ตามแผนเดิมกำหนดแผนขึ้นปราศรัยครั้งแรกของพล.อ.ประยุทธ์ ที่จังหวัดนครราชสีมา และจะขึ้นเวทีปราศรัยให้ครบทั้ง 4 ภาค แต่ข่าวลือล่าสุดที่ถูกกระจายไปสู่สำนักข่าวต่างๆ ที่ดูเหมือนพล.อ.ประยุทธ์จะเปลี่ยนใจไม่ขึ้นเวทีแล้วใช่หรือไม่?
เหลือเวลาอีกเพียง 16 วันก็จะถึงวันเลือกตั้ง หากยังไม่มีแคมเปญอะไรใหม่คงจะไม่ใช่เรื่องดีแน่สำหรับพรรคในตระกูลระบอบทักษิณ? เพราะถ้าเกิดคำตัดสินของศาลในวันนี้มีผลให้ ทษช. ถูกยุบไป จะทำให้แผนการที่คิดไว้เปลี่ยนไปทันที เพราะต่อให้พรรคเพื่อไทยได้คะแนนสูงสุดในการเลือกตั้งครั้งนี้ ซึ่งก็ยากมากที่จะได้ถึง 250 ที่นั่ง และต่อให้รวมกับพรรคที่เหลือในกลุ่มเดียวกันก็อาจไม่เพียงพอต่อการเป็นรัฐบาล และไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ไม่อาจสร้างคะแนนขึ้นมาชดเชยในเขตที่พรรคเพื่อไทยเว้นว่างไปได้ เพราะฉะนั้นเมื่อต้องแข่งกับพรรคพลังประชารัฐและพรรคประชาธิปัตย์ ที่ส่งผู้สมัครครบทั้ง 350 เขต เห็นทีจะเป็นเรื่องยากหากจะยังคงจะทำตามแผนการเดิม?
เมื่อลองสืบเสาะไปยังเขตเลือกตั้งที่พรรคเพื่อไทยและพรรคไทยรักษาชาติส่งผู้สมัครลงแล้ว พบว่า จากทั้งหมด 350 เขตพรรคเพื่อไทยส่งผู้สมัครลง 282 เขต ในขณะที่ ทษช. ส่งลง 176 เขต มีที่ทับซ้อนกันเพียงแค่ 106 เขต จึงเท่ากับว่าถ้าหาก ทษช. ถูกยุบไป คะแนนของพรรคในกลุ่มนี้ใน 70 เขตที่อาจไม่มีทั้งพรรคเพื่อไทยและ ทษช. ลงสมัคร อาจกลายเป็นสูญเปล่าเลยหรือไม่? เมื่อคิดแบบนี้แล้ว หากพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองปกติที่เป็นอิสระ คงไม่ต้องมีเรื่องให้กังวลใดๆ หากแต่ถ้าเป็นอย่างที่หลายคนเชื่อว่า พรรคเพื่อไทยมีการแบ่งพรรค ใช้เทคนิคเป็นพรรค ทษช. พรรคเพื่อชาติ หรือพรรคอื่นๆ ถ้าเป็นเช่นนั้นคงต้องคิดหนัก เพราะหลายฝ่ายประเมินว่า ในบรรดาพรรคลูกของระบอบทักษิณ ทษช. ถือเป็นพรรคที่รวมบรรดาลูกหลานคนใกล้ชิดในระบอบทักษิณเอาไว้มากที่สุดพรรคหนึ่ง? และถูกคาดหวังที่จะให้กระทำการบางอย่างหรือไม่? เมื่อวันรับสมัครเลือกตั้งที่ผ่านมา แต่ไม่สำเร็จและกลับกลายเป็นปัญหาจนถึงทุกวันนี้
ขณะที่พรรคเพื่อไทยเอง ที่มั่นใจว่าเป็นพรรคอันดับ 1 ในภาคอีสานและภาคเหนือมาโดยตลอด แต่พอหาเสียงนานวันเข้า สถานการณ์กลับไม่ง่ายอย่างที่คิด?
พื้นที่ภาคอีสาน 20 จังหวัด 116 เก้าอี้ มากที่สุดเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นถึงสองเท่า ครั้งที่แล้วมีทั้งหมด 126 ที่นั่ง เพื่อไทยได้ไป 104 ที่นั่ง ครั้งนี้ส่งลงในนามเพื่อไทย 110 เขต จาก 116 เขต โดยครั้งที่แล้วพรรคเพื่อไทยกวาดคะแนนบัญชีรายชื่อภาคอีสานไป รวม 7,267,740 คะแนน หากไม่มีผู้สมัครย้ายพรรคไปเลยก็น่าจะเก็บคะแนนได้ใกล้เดิม แม้เก้าอี้จะลดลงไปตามกฎหมายใหม่ แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นคือในพื้นที่ภาคอีสาน พรรคเพื่อไทยมีอดีตสส. ย้ายพรรคไป 13 คน โดยมากย้ายไปพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นพรรคคู่แข่งที่มีอำนาจในการแข่งขันเลือกตั้งครั้งนี้ เช่นเดียวกับพื้นที่ภาคเหนือ ที่จากเดิมมี 65 เขต พรรคเพื่อไทย เอาชนะไปได้ 47 เขต
ครั้งนี้ กกต. ปรับที่นั่งในพื้นที่ภาคเหนือลงเหลือ 62 ที่นั่ง เพื่อไทยส่งลงในนามเพื่อไทย 53 คน ส่งลงในนาม ทษช. 18 คน โดยมีพื้นที่ทับซ้อนกันเพียงแค่ 7 เขต ในขณะที่มีการส่งผู้สมัครพรรคเพื่อชาติลง 62 ที่นั่งด้วยเช่นกัน ด้วยความเชื่อเพียงอย่างเดียว ว่าเศรษฐกิจไม่ดี? คนน่าจะเบื่อรัฐบาล? หากแต่ในความเป็นจริงนโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ปล่อยของมาแล้ว 2 รอบตั้งแต่ปี 2560 ต้องยอมรับว่า หากไม่นับพวกคอแข็งทางการเมือง การแจกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐก็กระตุ้นต่อมความรู้สึกของประชาชนไปไม่น้อย แม้สภาวการณ์เศรษฐกิจจะไม่ดีอย่างที่กล่าวก็ตาม เพราะในตัวเลข 14.5 ล้านคน ของผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ พบว่ามีตัวเลขผู้ถือบัตรที่เป็นคนอีสานทั้งสิ้นกว่า 4.7 ล้านคน คนภาคเหนือทั้งสิ้นกว่า 2.7 ล้านคน
ยังไม่นับการหวังทวงแชมป์จากอดีตผู้สมัครพรรคภูมิใจไทยที่ดูจะมีแนวโน้มเป็นพันธมิตรกับพรรคพลังประชารัฐตั้งแต่ยังไม่เลือกตั้งก็ดูจะเป็นอุปสรรคไม่น้อยในหลายเขตพื้นที่ภาคอีสานที่มีคะแนนสูสีกับพรรคภูมิใจไทย และนี่ก็ยังไม่นับความเปลี่ยนแปลงของนักการเมืองท้องถิ่นและบรรดาหัวคะแนนของพรรคเพื่อไทยเดิมที่ย้ายฐานไปสนับสนุนพรรคพลังประชารัฐเป็นจำนวนมาก และก็ยังไม่นับบทบาทการเคลื่อนไหวของทักษิณต่อการเลือกตั้งครั้งนี้ที่ไม่ง่ายเหมือนตอนปี 2554 ที่รัฐบาลประชาธิปัตย์เป็นคนจัดเลือกตั้ง เพราะรัฐบาลนี้คงไม่ปล่อยให้เกิดการสอดแทรกเช่นนั้นอย่างง่ายดายแน่ ทั้งหมดนี้ทำให้คอการเมืองเริ่มวิเคราะห์ใหม่ในโค้งสุดท้าย เพราะหากสูญเสีย ทษช.ไป ก็จะยิ่งเป็นแรงกระตุ้นให้มูลค่าหุ้นเพื่อไทยดิ่งเหวลงไปอีก เพราะเมื่อใดที่แน่ชัดแล้วว่าไม่มีโอกาสจัดตั้งรัฐบาล ผู้สนับสนุน กลุ่มทุนและบรรดาแกนนำทางการเมืองก็ย่อมหลุดลอยแปรข้างไปเป็นธรรมดา?
หากจะประเมินสถานการณ์ของพรรคเพื่อไทยในขณะนี้ ก็คงต้องบอกว่า ค่อนข้างลำบากทีเดียว เพราะความเป็นไปได้ในการได้เป็นรัฐบาลมีน้อยลงเรื่อยๆ ขณะที่ทางเลือกอื่นๆ ในกรณีที่ ทษช. ถูกยุบขึ้นมาอาจจะเป็นการต้องไปสนับสนุนพรรคระบอบทักษิณอื่นๆ ที่เหลือ โดยเฉพาะพรรคเพื่อชาติที่ส่งผู้สมัครลงทั้งสิ้น 349 เขต กระนั้นแล้ว ปัญหาที่ตามมาก็อาจจะเป็นเรื่องของคุณภาพผู้สมัคร ที่ส่วนใหญ่ถูกมองว่า เป็นผู้สมัครที่ไม่เป็นที่รู้จักของประชาชน จึงเป็นเรื่องยากหรือไม่ที่จะผลักดันให้ผู้สมัครเหล่านี้เป็นที่ดึงดูดความนิยมชมชอบจากประชาชน? ประกอบกับกระแสข่าวเรื่องความขัดแย้งระหว่างสองแกนนำพรรคอย่างนายจตุพรและนายยงยุทธ ที่ส่งผลให้แนวทางการหาเสียงออกมาไม่เป็นรูปเป็นร่างนักอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ ยังไม่นับรวมที่มาของพรรคเพื่อชาติที่แม้ถูกมองว่าเป็นพรรคในระบอบทักษิณเช่นเดียวกับพรรคเพื่อไทย
และ ทษช.
แต่การที่ถูกมองว่าเป็นการแยกออกมาพร้อมความขัดแย้งของมุ้งใหญ่ ทำให้เป็นเรื่องยากหากจะมีการโอนคะแนนของพรรคเพื่อไทยและ ทษช. ไปอยู่ในพรรคเพื่อชาติได้ง่ายๆ แต่กลับเป็นการเปิดช่องให้กับพรรคที่มีความคิดคล้ายกันและกำลังเป็นกระแสอย่างมากในขณะนี้อย่างพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งแม้เป็นพรรคที่เล่นกับกระแสคนเมือง แต่ในขณะที่พื้นที่ต่างจังหวัดก็ส่งผู้สมัครลงเขตครบ 350 ที่นั่ง แม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าคนที่ลงเขตเป็นเพียงตัวแทนเพื่อสร้างคะแนนบัญชีรายชื่อก็ตาม? รวมถึงบรรดาผู้สมัครไม่เป็นที่รู้จักของประชนชนด้วยก็ตาม? หากแต่กลุ่มแกนนำพรรคไม่ได้มีความขัดแย้งภายในเช่นเดียวกับกลุ่มในเพื่อชาติกับเพื่อไทยและ ทษช. หรือไม่? แม้การขัดแย้งในมุ้งเดียวกันจะไม่ร้ายแรงแต่ในการสู้ศึกเลือกตั้งถือว่ามีผลไม่น้อย
พรรคที่ดูจะไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของ ทษช. หรือการแข่งขันอย่างรุนแรงในภาคอีสานของเพื่อไทยและพลังประชารัฐ ก็คือ พรรคประชาธิปัตย์ที่ประคองแนวรบไว้ที่กรุงเทพฯและภาคใต้เท่านั้น ซึ่งหากประชาธิปัตย์ยังคงเก็บคะแนนบัญชีรายชื่อในภาคกลาง ภาคเหนือและภาคอีสานไว้ได้ใกล้เคียงกับจำนวนตัวเลขเดิม ก็อาจจะส่งผลให้มีความเป็นไปได้ที่พรรคประชาธิปัตย์อาจได้คะแนนรวมสูงสุดในรอบนี้ แต่ก็อาจเป็นคะแนนสูงสุดที่มีความใกล้เคียงกัน 3 พรรค คือ ประชาธิปัตย์ เพื่อไทย และพลังประชารัฐ ที่กล่าวเช่นนั้น เพราะฐานคะแนนพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้จากการเลือกตั้งครั้งที่แล้วในระบบบัญชีรายชื่อมีมากถึง 11,393,763 คะแนน
อย่างไรก็ตามประชาธิปัตย์เองก็มี สส. ย้ายออกจากพรรคไปมากถึง 18 คน ซึ่งกระจายเฉลี่ยไปทั้งประเทศ ไม่เว้นแม้แต่ภาคใต้ แต่เนื่องจากเป็นพรรคเก่าแก่ และที่ผ่านมามีส่วนต่างของคะแนนบัญชีรายชื่อที่มากกว่าคะแนนเขต ทำให้นักวิเคราะห์ยังคงเชื่อว่า ประชาธิปัตย์จะยังคงประคองคะแนนฐานพรรคได้ไม่น้อยไปกว่าเดิมมากนัก ยิ่งใกล้วันเลือกตั้งเข้า ก็ยิ่งชัดว่าประชาธิปัตย์อาจกลายเป็นพรรคตัวแปรที่สำคัญในการเลือกตั้งครั้งนี้? รวมถึงท่าทีของผู้บริหารพรรคในการให้สัมภาษณ์แต่ละครั้งที่พักหลังไม่ปฏิเสธที่จะร่วมงานกับใคร?
“…ระหว่างคนที่รักกัน ไฉนเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน ระแวงคลางแคลงซึ่งกันและกัน หรือนี่เป็นส่วนหนึ่งของความรัก…”
โกวเล้ง จาก หลั่งเลือดสะท้านภพ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี