รัฐบาล พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้ออกกฎหมายชุดสุดท้ายก่อนพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2530 ได้มีประกาศราชกิจจานุเบกษา ให้มีพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530 โดยในหลักการเพื่อเน้นให้ลูกจ้างของภาคเอกชนและพนักงานรัฐวิสาหกิจได้มีเงินใช้จ่ายหลังเกษียณอายุหรือลาออกจากงาน
กฎหมายฉบับนี้เน้นความสมัครใจของลูกจ้างโดยลูกจ้างจะต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนตั้งแต่ 2% ขึ้นไป ถึงไม่เกินที่นายจ้างจ่ายสมทบ ซึ่งเป็นการรณรงค์ให้ลูกจ้างรู้จักการออมเงินอย่างมีวินัย และนายจ้างจะต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนตั้งแต่ 2% ถึงไม่เกิน 15% เงินดังกล่าวก็ถูกส่งเข้าไปอยู่ในตลาดหลักทรัพย์เช่นเดียวกัน
ตั้งแต่ประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว ปัจจุบันเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพต่างๆ มีเงินมากถึง 1,146,921 ล้านบาท ซึ่งเงินทั้งหมดอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ มีนายจ้างจัดตั้งกองทุน กสท. แล้วมากถึง 18,178 กองทุน มีสมาชิก 3 ล้านกว่าคน ซึ่งเงินก้อนดังกล่าวได้มีส่วนในการพัฒนาประเทศในการลงทุนผ่านธุรกิจต่างๆ มายาวนานถึง 32 ปี การบริหารเงินทั้งหมด กฎหมายได้ให้โอกาสสถาบันการเงิน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนบริหารเงินอย่างมืออาชีพ ในอดีตได้สร้างผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 10-15%เลยทีเดียว สร้างผลตอบแทนเป็นที่พึงพอใจของสมาชิก
แต่ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ผลตอบแทนจากการลงในตลาดหลักทรัพย์ กลับสร้างผลตอบแทนให้กับสมาชิกในอัตราเฉลี่ยค่อนข้างต่ำมาก เนื่องจากภาวการณ์ลงทุนในตลาดมีความผันผวน อย่างเช่น ในปีที่ผ่านมาการลงทุนในตราสารทุนติดลบเฉลี่ย 10% การลงทุนในตราสารหนี้ได้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 1.60% เท่านั้น ทำให้ส่งผลให้พนักงานที่เกษียณอายุราชการได้รับเงินจากกองทุนต่ำกว่ากองทุนบำเหน็จเดิมหรือกองทุนสงเคราะห์ที่เดิมจะจ่ายให้โดยนำเงินเดือนก้อนสุดท้ายคูณกับอายุงานแล้วนำไปหักภาษีก็จะเป็นเงินก้อนสุดท้ายที่ลูกจ้างจะได้รับเมื่อเกษียณอายุหรือออกจากงาน ทำให้ที่ผ่านมาพนักงานรัฐวิสาหกิจและลูกจ้างได้พยายามเสนอรัฐบาลเพื่อขอเพิ่มเงินสมทบจากนายจ้างให้เพิ่มขึ้นตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย ซึ่งกำหนดให้นายจ้างจ่ายสมทบให้ลูกจ้างได้ถึง 15%
ซึ่งในปัจจุบันรัฐวิสาหกิจต่างๆจ่ายเงินสมทบให้กับลูกจ้างระหว่าง 9-11% เท่านั้น แต่มีบางรัฐวิสาหกิจ เช่น การท่าอากาศยาน บริษัทวิทยุการบินแห่งประเทศไทย นายจ้างได้จ่ายเงินสมทบให้ลูกจ้างถึง 15% หรือองค์การเภสัชกรรมได้จ่ายสมทบให้ถึง 13% ในขณะที่พนักงานในอีกหลายรัฐวิสาหกิจที่มีฐานะการเงิน มีศักยภาพจ่ายเงินสมทบเพิ่มขึ้นให้กับพนักงานได้ ถึงแม้นายจ้าง (คณะกรรมการบริหารของรัฐวิสาหกิจนั้นๆ) จะให้ความเห็นชอบแล้ว แต่กลับถูกกระทรวงการคลังไม่ให้ความเห็นชอบ ทำให้หลายรัฐวิสาหกิจถูกพนักงานที่เกษียณอายุฟ้องร้องหน่วยงาน แม้แต่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สังกัดกระทรวงการคลังเอง ก็ถูกสมาชิกของกองทุนฟ้องร้องเช่นเดียวกัน
โดยล่าสุดทางการประปาส่วนภูมิภาคได้ทำหนังสือผ่านกระทรวงมหาดไทยไปถึงกระทรวงการคลังเพื่อขอปรับอัตราเงินสมทบฝ่ายนายจ้างเพิ่มขึ้นตามที่กฎหมายกำหนด แต่กลับถูกกระทรวงการคลังปฏิเสธ และบอกว่าไม่มีนโยบายในการปรับอัตราการจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนแต่อย่างใด อีกทั้งยังอ้างถึงมติ ครม. เมื่อวันที่ 20 พ.ย. 2561 ว่า “เห็นชอบเรื่องกองทุนสำรองเลี้ยงชีพรัฐวิสาหกิจว่า หลักการระบบกองทุนดังกล่าวยังคงมีความเหมาะสม โดยให้รัฐวิสาหกิจเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการกองทุนของคณะกรรมการกองทุนและบริษัทจัดการกองทุน รวมทั้งมีการกำหนดนโยบายการลงทุนที่หลากหลาย การส่งเสริมและให้ความรู้ทางการเงินและการลงทุนแก่พนักงาน”
ข้อมูลนี้ยืนยันจาก ดร.สุเมต สุวรรณพรหม กรรมการที่ปรึกษาสมาคมสำรองเลี้ยงชีพแห่งประเทศไทย และเป็นกรรมการบริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ทั้งยังขอขอบพระคุณวิสัยทัศน์ของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และนายสมหมาย ฮุนตระกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในสมัยนั้นที่ออกกฎหมายจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้สำเร็จ เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของลูกจ้างภาคเอกชน และพนักงานรัฐวิสาหกิจที่เกษียณอายุเป็นอย่างมาก
ซึ่งแนวคิดนี้กลุ่มประเทศในสแกนดิเนเวีย (เดนมาร์ก นอร์เวย์ ฟินแลนด์) และประเทศเพื่อนบ้านเราอย่างสิงคโปร์ให้ความสำคัญกับเรื่องคุณภาพชีวิตกับเรื่องลูกจ้างเมื่อเกษียณอายุเป็นอย่างมาก ตนยืนยันว่าผลตอบแทนที่ได้รับจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพปัจจุบันอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างต่ำ ซึ่งมีผลกระทบต่อพนักงานที่เกษียณอายุอย่างที่ กสช. กฟภ. พนักงานเกษียณอายุหลายรายที่ได้รับเงินเพียง 7 แสน-8 แสนบาทเท่านั้นเอง หรือบางส่วนก็อาจจะได้รับ 1-2 ล้านบาท
เงินดังกล่าวถ้าจะใช้จนถึงอายุเฉลี่ย 81 ปีสำหรับผู้ชาย หรือ 85 ปี สำหรับผู้หญิง ก็คงไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายต่อคำชี้แจงของกระทรวงการคลัง และมติครม.ข้างต้น ดร.สุเมตกล่าวย้ำว่าข้อเสนอดังกล่าวกองทุนสำรองเลี้ยงชีพโดยเฉพาะ กสช.กฟภ.ได้กระทำหมดแล้วจนได้รับเลือกให้เป็นกองทุนสำรองเลี้ยงชีพดีเด่นของประเทศไทย ถึง 4 สมัย และยังเป็นกองทุนยอดเยี่ยมของทวีปเอเชียถึงสามครั้ง ตนยืนยันว่านายจ้างตามกฎหมายที่มีอำนาจจ่ายเงินสมทบให้พนักงานได้ควรเป็นอำนาจของคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจนั้นๆ ไม่ได้มีมาตราใดของ พ.ร.บ. ที่ให้อำนาจกระทรวงการคลัง โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจมามีอำนาจยับยั้งการจ่ายเงินสมทบของนายจ้างเข้ากองทุน กสช. แต่อย่างใด
เรื่องนี้ตนจะยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมไปยัง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง รวมทั้งฝากไปยังพรรคการเมืองต่างๆ ที่อยู่ในระหว่างการรณรงค์หาเสียง ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวเพื่อความเป็นธรรมระหว่างคุณภาพชีวิตของข้าราชการกับพนักงานรัฐวิสาหกิจ อย่าให้มีความแตกต่างกันจนเกินไป ที่ผ่านมาบุคคลทั่วไปอาจจะเข้าใจว่าการเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ มีเงินเดือนเยอะ สวัสดิการมาก ซึ่งนั่นก็หมายถึงพนักงานระดับผู้บริหารเท่านั้น แต่พนักงานรัฐวิสาหกิจโดยเฉลี่ย รายได้และสวัสดิการก็ไม่ได้แตกต่างกับลูกจ้างภาคเอกชนทั่วไป
สิ่งที่พนักงานรัฐวิสาหกิจเรียกร้องก็เป็นไปตามกฎหมายที่รัฐบาลเขียนขึ้นมาบังคับ ก็คงต้องฝากคุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีและลุงตู่ช่วยดูแลเรื่องนี้ก่อนที่จะพ้นวาระการดำรงตำแหน่งด้วย
ก็เป็นข้อมูลที่น่าสนใจนำมาบอกกล่าวกัน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี