งวดเข้ามาทุกทีสำหรับวันหย่อนบัตรเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 และต้องไม่ลืมว่า วันเลือกตั้งล่วงหน้า 17 มีนาคม 2562 ก็มีประชาชนลงทะเบียนขอใช้สิทธิเอาไว้มากมาย ดังนั้น พรรคการเมืองทั้งหลายมีไม้เด็ดอะไร ก็ต้องรีบแสดงออกและสื่อสารให้ชัดเจนเอาในโค้งสุดท้าย ก็คือช่วงเวลานี้แหละ
แต่พรรคการเมืองที่ต้อง “ออกจากสนามแข่ง” ไปก่อนใคร ก็คือพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ากระทำผิดและสั่งยุบพรรค พร้อมตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคอีก 10 ปี ห้ามมิให้กรรมการผู้ถูกตัดสิทธิ์เหล่านั้นไปจดแจ้งตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ ในระยะเวลา 10 ปีเช่นเดียวกัน
การยุบพรรคไทยรักษาชาตินั้น ก่อ “แรงกระเพื่อม” ขึ้นอย่างมากมาย
1) ไม่มีคำว่า ยอมรับคำวินิจฉัย และขอโทษสมาชิกพรรค ผู้สมัครของพรรค และผู้สนับสนุนพรรคทุกคนจากหัวหน้าพรรค ร้อยโทปรีชาพล พงษ์พานิช
7 มี.ค.2562 - ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ร.ท.ปรีชาพล ให้สัมภาษณ์ด้วยเสียงสะอื้น หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคไทยรักษาชาติ และตัดสิทธิ์ทางการเมืองกรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 10 ปีว่า “จากที่ได้รับฟังคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ผมและกรรมการบริหารพรรคในฐานะ ทษช. ยืนยันว่าเราได้น้อมรับพระราชโองการเมื่อวันที่ 8 ก.พ. ไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม ด้วยความจงรักภักดีต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ซึ่งคำวินิจฉัยเป็นไปตามที่สื่อมวลชนได้รับทราบแล้ว ผมและคณะกรรมการบริหารพรรครู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง
การยุบพรรคส่งผลกระทบต่อสิทธิ และเสรีภาพทางการเมืองขั้นพื้นฐาน อย่างน้อยก็กระทบต่อผู้สมัครของพรรค และพี่น้องประชาชนที่มุ่งหน้าจะไปสู่การเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคมนี้ ผมขอขอบคุณทุกกำลังใจจากพี่น้องประชาชนพรรคการเมือง แม้พรรคทษช. จะมีอายุที่ไม่ยาวเพียง 4 เดือนเท่านั้นเ ที่เริ่มก่อร่างสร้างตัว แต่ก็ได้รับความเมตตาจากพี่น้องประชาชน จำนวนมาก เราพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด อยากเห็นบ้านเมืองไปในทิศทางที่ดี และอยากทำสิ่งดีๆ ให้กับบ้านเมือง โดยมีเจตนาบริสุทธิ์ตลอดระยะเวลาที่ทำงานมา
ผมเรียนว่า ผมขอขอบคุณผู้สมัครและพี่น้องประชาชนที่เดินเคียงข้างกันมาตลอด ถึงแม้ว่ามันจะไปไม่ถึงสิ่งที่เราปรารถนา แต่ผมก็ขอขอบคุณทุกๆ คน ปัญหาบ้านเมืองมีมาก คนที่อยู่ก็ต้องทำงานกันต่อไป สำหรับผมและกรรมการบริหารพรรค ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานะอะไรก็ตาม เราจะทำให้เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง เราทุกคนปรารถนาดีต่อบ้านเมือง ไม่มีใครคิดร้าย ผมอยากให้พวกเราทุกๆ คน ทำหน้าที่ของตนเอง แม้ว่ากรรมการบริหารพรรคจะถูกเพิกถอนสิทธิ์ทางการเมือง ผมเชื่อว่าในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่งสามารถทำประโยชน์ให้บ้านเมืองได้ไม่ว่าทางใดทางหนึ่งก็ตาม ในฐานะคนไทยผมขอขอบคุณพี่น้องประชาชนอีกครั้งหนึ่ง ขอบคุณมากๆ สำหรับกำลังใจ เราคงได้พบกันใหม่เมื่อมีโอกาส”
2) ตรงไหนคือการแสดงความน้อมรับคำวินิจฉัยของศาล ร้อยโทปรีชาพลไปอ้างถึง “พระราชโองการ” ทำไม ขนาดศาลยังไม่อ้างถึงพระราชโองการเลย ศาลใช้เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญปี 2475 เป็นหลักของการวินิจฉัยว่า
“รัฐธรรมนูญหมวด 1 ได้บัญญัติว่าพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าโดยกำเนิดทรงดำรงอยู่ เหนือการเมืองตามพระประสงค์ของรัชกาลที่ 7 พระราชหัตถเลขาของรัชกาลที่ 7 ที่ระบุว่า พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์เป็นที่เคารพ ไม่ควรแก่ตำแหน่งทางการเมือง และควรอยู่เหนือการถูกติเตียน และไม่ควรแก่ตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งเป็นการงานที่จะนำมาซึ่งพระเดชและพระคุณย่อมอยู่ในวงที่จะถูกติเตียน อีกเหตุหนึ่งจะนำมาซึ่งความขมขื่นโดยในช่วงรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งอันเป็นเวลาที่ต่างฝ่ายต่างโจมตีให้ร้ายซึ่งกันและกัน เพื่อความสงบเรียบร้อยสมัครสมานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างเจ้านายกับราษฎร ควรถือเสียว่าพระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไปย่อมดำรงอยู่เหนือการเมืองทั้งหลาย ส่วน เจ้านายจะทะนุบำรุงประเทศ ก็ย่อมมีโอกาสบริบูรณ์ในทางตำแหน่งประจำและตำแหน่งในวิชาชีพ
หลักการพื้นฐานดังกล่าวเป็นเจตนารมณ์ร่วมของการสถาปนาระบอบการปกครองของไทยไว้ในรัฐธรรมนูญแต่เริ่มแรกและเป็นฉันทานุมติที่ฝ่ายสภาผู้แทนราษฎรให้การยอมรับปฏิบัติสืบต่อมาว่าพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงควรอยู่เหนือการเมือง โดยเฉพาะการไม่เข้าไปมีบทบาทเป็นฝัก เป็นฝ่ายต่อสู้แข่งขันรณรงค์ทางการเมือง อันอาจจะนำมาซึ่งการโจมตี ติเตียน และจะกระทบต่อความสมัครสมานระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับราษฎร ที่เป็นหลักการพื้นฐานของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
นี่คือหลักการพื้นฐานของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังนั้น เมื่อพรรคไทยรักษาชาติกระทำการอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองฯ ก็ย่อม “มีความผิด” และการทำผิดกับ “คิดชั่ว” เป็นคนละส่วนกัน อย่าเอาแต่ยันว่าเจตนาดีต่อบ้านเมือง แต่ไม่มีสักคำที่ยอมรับว่า “ทำผิด” ไปแล้ว
3) การที่ปรีชาพลกล่าวว่า “การยุบพรรคส่งผลกระทบต่อสิทธิ และเสรีภาพทางการเมืองขั้นพื้นฐาน อย่างน้อยก็กระทบต่อผู้สมัครของพรรค และพี่น้องประชาชนที่มุ่งหน้าจะไปสู่การเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคมนี้” คือการ “เปิดประเด็น” เพื่อหวังผล ให้เห็นภาพว่า สิทธิเสรีภาพของหลายคนถูกกระทบ แต่ไม่อธิบายต่อ ปล่อยให้คลุมเครือ เหมือนตำหนิการวินิจฉัยเสียอย่างนั้น
ปรีชาพลขาด “สำนึกแห่งความเป็นผู้นำ” ที่ต้องรับผิดชอบการกระทำและการตัดสินใจที่ “ผิดพลาด” ยังผลให้พรรคถูกยุบ และคนอื่นถูกกระทบสิทธิ ซึ่งหากเขามีสำนึกนี้ คำ “ขอโทษ” จะออกจากปากของเขาแทนคำเหล่านี้ ซึ่งไม่สะท้อนการยอมรับว่าตนและพวกกระทำผิด จนคนอื่นพลอยเดือดร้อนไปด้วย
4) เช่นเดียวกับ นางฐิติมา ฉายแสง อดีตผู้สมัคร สส.พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) และน้องสาวของนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตประธานยุทธศาสตร์พรรค ทษช. โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค “ฐิติมา ฉายแสง” ระบุตอนหนึ่งว่า “...จริงๆปล่อยให้สู้กันเต็มที่ไป ให้รู้แพ้-ชนะกันในสนามเลือกตั้ง พรรคไทยรักษาชาติก็แค่ไม่มีแคนดิเดทนายกรัฐมนตรี ก็เท่านั้น หลังจากนั้นก็ยุบไป คนที่ได้เป็น สส.ก็มีสิทธิ์ย้ายพรรคได้ใน 30 วัน แต่นี่มาตัดสินกันก่อนวันลงคะแนน ผู้สมัครไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย ก็ต้องมาถูกตัดสิทธิ์ไปด้วย...
อ้าว! ทำไมไม่โทษหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคล่ะ ที่ตัดสินใจและกระทำเช่นนั้น จนคนอื่นๆ พลอยแบกรับผลกระทบไปด้วย
5) ทั้งสองคนมีท่าที “ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัย” ชัดเจน และอ้างคนที่ถูกกระทบสิทธิเรียกคะแนนสงสาร เล่นบท “เหยื่อ” หรือ “ผู้ถูกกระทำทันที” ทั้งๆ ที่จริงแล้ว การถูกลงโทษเป็นผลจากการกระทำของพวกเขาเอง ไม่ว่าจะทำด้วยตนเอง หรือถูกใครบงการให้ทำ เพราะอย่าลืมว่า “ดีล” ในการนำบุคคลสำคัญระดับนั้นมาเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค น่าจะ “เกิน” ระดับการ “ดีล” ของปรีชาพลและเด็กๆ ในพรรค เพียงแต่เขาคงไม่เฉลยออกมาหรอก ว่าใครเป็นคน “ดีล”
6) ควรให้ใครก็ได้ ไปยกระดับสติปัญญาให้แก่นางฐิติมาสักหน่อยว่า พรรคคือ “องค์กรต้นสังกัด” เมื่อองค์กรดังกล่าวกระทำการอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครอง ต้องยุบพรรค เสมือนทีมกีฬาที่พยายามโกงการแข่งขัน ฟาวล์ ก็ถูกปรับให้ออกจากการแข่งขัน นักกีฬาควรโอดครวญอย่างเห็นแก่ตัว ไร้ความรับผิดชอบต่อองค์กรไหมว่า ปล่อยให้นักกีฬาได้แข่งสักหน่อยก็ไม่ได้ เออ...แทนที่นางจะโทษว่าทีมกระทำการที่ไม่อาจให้ร่วมลงสนามแข่งได้ กลับกันตัวเองออกมา ว่ายุบทีมหรือยุบสโมสรก็ยุบไปซี ฉันเป็นแค่นักกีฬา ฉันอยากแข่ง ให้ฉันแข่งสักหน่อยก็ไม่ได้ ตอบเลยว่า “แข่งไม่ได้ค่ะ” คุณเลือกอยู่ในสโมสรที่ทำผิด คุณควรอาย และใช้เวลาที่เหลือพัฒนาองค์กรของคุณให้ลงแข่งอย่างตรงไปตรงมา เห็นแก่นักกีฬาที่ฟิตซ้อมกันมานานบ้าง
7) แรงกระเพื่อมของการยุบพรรค สิ่งแรกที่เราได้เห็นก็คือ “อาการของคน” มีทั้งที่ “ครองสติได้” และ “ครองสติไม่อยู่” กองเชียร์บางคนร้องไห้ฟูมฟาย เพรียกหาประชาธิปไตย ขอประชาธิปไตยให้ประชาชนตาดำๆ ไม่ได้หรือคะผู้มีอำนาจ ประชาธิปไตยยังอยู่ครับ ที่ถูกยุบไปคือพรรคการเมืองที่ไม่เดินตามกฎเกณฑ์ของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อย่าให้ความรักความชอบส่วนตัว อยู่เหนือความถูก/ผิด
8) แรงกระเพื่อมทางการเมืองที่ตามมาคือ ยุทธวิธีแตกแบงก์พันเป็นแบงก์ร้อย ได้รับผลกระทบทันที การแตกออกเป็นสองพรรคหลัก ไม่รวมพรรคย่อยๆ กับพรรคแนวร่วม โดยหวังให้พรรคพี่โกย สส.เขต พรรคน้องเก็บ สส.บัญชีรายชื่อ ด้วยการ “สับหลีก” พื้นที่ลงแข่งกัน เป็นอันจบสิ้น คำถามที่ตามมาก็คือ จะแก้เกมนี้อย่างไร เท่าที่คาดเดาได้ ก็คือ การหาพรรคสำรองอื่นๆ มาทำหน้าที่แทนพรรคไทยรักษาชาติ คือแสดงตนขอคะแนนที่เป็นคะแนนเดิมของ ทษช. มาให้พรรคใหม่ ซึ่งก็เริ่มเห็นแล้วว่า พรรคเพื่อชาติก็ดี พรรคอนาคตใหม่ก็ดี รีบกระโจนเข้ามาแสดงตัวว่า ยังมีฉันให้เลือกอยู่นะ พรรคอนาคตใหม่ถึงกับออกแถลงการณ์ “เอาใจ” แฟนๆ ทษช. แต่ก็สุ่มเสี่ยงว่า แถลงการณ์ดังกล่าวนั้น ละเมิดอำนาจศาลหรือไม่ เรื่องนี้มีคนไปดำเนินการให้ตรวจสอบเอาผิดแล้ว ก็เหลืออีกเรื่องที่ไม่รู้สังคมจับกระแสได้ไหมว่า กรอบความคิดและทุกๆ คำในแถลงการณ์ที่ว่านั้น ตั้งอยู่บนฐานคิดของระบอบประชาธิปไตย ที่ไม่มีคำว่า อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างเห็นได้ชัด
9) เพื่อไทย คงไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการยุบพรรค ทษช. ประชาธิปัตย์ก็ไม่กระโดดเข้ามาตีกิน ยังคงประคองทิศทางหลักคือ นำเสนอนโยบาย ไม่ค้าขายความขัดแย้ง หลังจาก “ชัดเจน” ไปแล้วจากคลิปของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่าไม่สนับสนุนให้พรรคฝ่ายทักษิณจัดตั้งรัฐบาลแน่ ก็เหลือคำถามค้างคาใจว่า แล้วจะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือไม่ เชื่อว่าเป็นคำถามถัดไปที่ประชาธิปัตย์ต้องตอบ!
10) กรรมการบริหารพรรค ทษช. ที่ถูกตัดสิทธิ์10 ปี คงจะได้มีเวลาทบทวนว่า การยอมหรือเสียรู้ให้ “รุ่นใหญ่” ใช้เราเหมือน “เบี้ยบนกระดานการเมือง” นั้น เจ็บปวดเพียงใด และให้บทเรียนอะไรแก่เรา
แต่สิ่งที่น่ากลัวและเปราะบางที่สุดของการเมืองไทยยามนี้คือ พล.อ.ประยุทธ์ ถูกสร้างความเชื่อราวกับว่า “ฟ้าส่งมา” เป็นคำตอบเดียวของการ “ชนะทักษิณ” และ “เอาสถานการณ์บ้านเมืองอยู่” ทั้งๆ ที่นับวัน ท่านยิ่งเป็นปัจจัยของความขัดแย้ง กองทัพลงมาตอบโต้กับตัวบุคคลอย่าง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส จนเป็นอีกความขัดแย้งใหม่ ในขณะที่ผู้เกี่ยวข้องจนนำมาสู่การยุบพรรค ทษช. ก็ไม่ “หยุด” ในการแสดงตนหรือส่งสัญญาณ
ความขัดแย้งทางการเมืองรอบใหม่ ไม่ใช่เครือข่ายทักษิณ กับประชาธิปัตย์อีกแล้ว คราวนี้ เล่นกัน “สูง” หากยังปล่อยให้แกระแสแบบนี้ ความเชื่อแบบนี้ หรือสงครามสัญลักษณ์แบบนี้คงอยู่ต่อไป การเมืองไทยและผลที่จะตามมา น่ากลัวมาก!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี