ในท่ามกลางความขัดแย้ง ความแตกแยกแตกสามัคคีที่ขยายลามออกไปทั่วทุกวงการ อันต่อเนื่องมาจากการเมืองในประเทศที่สั่งสมมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว และกำลังพวยพุ่งขึ้นหลังจากเริ่มสถานการณ์เลือกตั้งทั่วไป
แต่ละฝ่ายได้ใช้เล่ห์กลอุบายและวิธีการสารพัดเพื่อทำลายคู่ต่อสู้จนลืมคิดไปว่าล้วนเป็นคนไทยด้วยกัน ล้วนเป็นส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการเมืองของประเทศ ยังจะต้องอยู่ร่วมกัน ยังจะต้องทำงานร่วมกัน ซึ่งการทำลายล้างกันเช่นนี้จะทำให้สถานการณ์ของประเทศย่ำแย่ลงและเป็นอุปสรรคต่อการที่จะอยู่ร่วมกันหรือทำงานร่วมกันในอนาคต
แต่ทว่าในสายตาของคนทั่วไปนั้น การเลือกตั้งทั่วไปเป็นเรื่องดีที่ทุกคนต่างปรารถนาเพื่อให้ประเทศก้าวข้ามยุครัฐประหารไปเสียทีหนึ่ง เพราะเกือบ 5 ปีนั้นเพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล คสช. เป็นอย่างไร
ก็เป็นธรรมดาของทุกรัฐบาลที่เมื่อเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินแล้วก็ย่อมมีทั้งพวกที่พอใจและพวกที่ไม่พอใจ มีทั้งพวกที่ชื่นชมยินดีและมีทั้งพวกที่ติเตียนด่าว่าจนเสียๆ หายๆ จนกลายเป็นปกติของสังคมไทยไปแล้วที่ไม่ว่ามีเรื่องราวใดขึ้นก็ต้องทะเลาะเบาะแว้งกันไม่เลือกหนักเบา ไม่เลือกเรื่องราว
การเล่นดนตรีในวัดหรือในงานบวชก็เป็นเรื่องทะเลาะเบาะแว้งถึงฆ่ากันตาย หรือแค่เรื่องข่าวดาราคนนั้นมีชู้กับคนนี้ก็ยกพวกเชียร์จนตีกันหัวร้างข้างแตก บ้างก็ฟ้องคดีกันจนเป็นเรื่องเป็นราว
นั่นก็อาจถือได้ว่าเป็นพิษภัยอย่างหนึ่งของยุคโซเชียลมีเดีย ที่ทำอะไรกันลวกๆ ง่ายๆ ผลีผลามโดยไม่คำนึงว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร ไม่คำนึงว่าความผิดความถูกอยู่ที่ตรงไหน ทำให้สังคมไทยเราไหลไปตามกระแสที่ว่านี้ จนเป็นที่วิตกกังวลโดยทั่วไปว่าเป็นอันตรายต่อบ้านเมืองและผู้คนมากขึ้นทุกวัน
แม้ปานนั้นแล้วก็ยังต้องกล่าวว่า การมีการเลือกตั้งทั่วไปนั้นเป็นเรื่องดีเพราะเป็นการทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น แม้ว่าจะมีส่วนร่วมแค่วินาทีเดียวในช่วงกาบัตรเลือกตั้ง เพราะหลังจากนั้นแล้วก็ยากที่จะพบปะเข้าหานักการเมือง ยากที่จะเห็นนักการเมืองมายกมือไหว้กราบและมาเยี่ยมเยียน รวมทั้งพูดจาอ่อนหวานเอาอกเอาใจสารพัด
ก็ถือเสียว่านั่นเป็นฤดูกาลที่มีการเอาอกเอาใจประชาชนเป็นพิเศษ แม้ว่าจะเป็นการเอาอกเอาใจแบบเอาขนมหลอกเด็กก็ตามที
แต่ที่เป็นข่าวร้ายก็คือ การเปิดเผยท่าทีของสหรัฐอเมริกาต่อการเลือกตั้งในประเทศไทยว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี เพราะเมื่อมีรัฐบาลจากการเลือกตั้งแล้วก็จะเป็นจังหวะและโอกาสที่สหรัฐจะได้ขายอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กับประเทศไทยกันต่อไป
เป็นการเปิดเผยท่าทีที่ชัดเจนที่ทำให้คนไทยได้เข้าใจร่วมกันว่า ความพยายามที่จะผลักดันทุกวิถีทางเพื่อให้ประเทศไทยมีการเลือกตั้งนั้น วัตถุประสงค์หลักก็คือการขายอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กับประเทศไทย
เพราะตามกฎหมายของสหรัฐนั้นจะไม่สามารถขายอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กับประเทศที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ดังนั้นนับแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา รัฐบาลสหรัฐจึงไม่สามารถขายอาวุธยุทโธปกรณ์ให้แก่ประเทศไทยได้ ทำให้ประเทศไทยจำเป็นต้องจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์จากประเทศอื่น ไม่ว่าจะเป็นจีน หรือรัสเซีย
ซึ่งทุกจำนวนที่ประเทศไทยจัดซื้อจัดหานั้นย่อมกระทบต่อผลประโยชน์ของสหรัฐ รวมทั้งอิสราเอลด้วย และได้เป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้มีการปรับเปลี่ยนท่าทีจากที่เคยกดดันประเทศไทยครั้งใหญ่ในช่วงหลังวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 มาเป็นการเอาอกเอาใจ เออออห่อหมกจนเป็นที่น่าแปลกใจของคนทั้งหลายมาระยะหนึ่งแล้ว
มาถึงวันนี้ก็มีความชัดเจนว่า การปรับท่าทีและความต้องการให้ประเทศไทยมีการเลือกตั้งนั้นก็เพียงเพื่อผลประโยชน์จากการที่จะได้ขายอาวุธยุทโธปกรณ์ให้แก่ประเทศไทยเท่านั้น
ดังนั้นใครมาเป็นรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง ใครมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จึงต้องเตรียมรับแรงกดดันครั้งใหญ่ที่สุดว่า ประเทศไทยจะต้องซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากสหรัฐเป็นจำนวนเท่าใด เพราะนับถึงวันนี้ก็ไม่มีใครทราบว่ามีการตั้งเป้าหมายการขายอาวุธยุทโธปกรณ์ให้แก่ประเทศไทยเป็นจำนวนเท่าใด ซึ่งอาจจะเป็นจำนวนมากทบต้นทบดอกที่ประเทศไทยไม่ได้ซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์กับสหรัฐมาเป็นเวลาร่วม 5 ปีก็ได้
ขณะนี้สหรัฐมีปัญหาและแรงกดดันภายใน ในเรื่องนี้ที่สำคัญคือ การขาดเงินงบประมาณในการพัฒนากองทัพอย่างรุนแรง เพราะเพียงแค่เงิน 1,200 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ที่ต้องการจะใช้ในการสร้างกำแพงกั้นชายแดนเม็กซิโกก็ไม่สามารถจัดหาเงินงบประมาณได้ จนต้องใช้วิธีออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อให้อำนาจประธานาธิบดีโอนเงินงบประมาณของกองทัพจำนวนดังกล่าวไปสร้างกำแพง แต่ในที่สุดสภาคองเกรสก็คว่ำโดยยกเลิกคำสั่งประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินนั้นเสีย
ภาวะขาดแคลนงบประมาณนั้นจึงจำเป็นให้สหรัฐต้องหารายได้จากการขายอาวุธยุทโธปกรณ์ในรูปแบบต่างๆ ให้ได้มากที่สุดและให้ได้เร็วที่สุด ดังนั้นบรรดามิตรประเทศทั้งหลายจึงถูกกำหนดเป้าหมายที่จะต้องจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อเป็นรายได้สำคัญ
ดังเช่นประเทศสิงคโปร์เล็กๆ ก็ยังถูกตั้งเป้าหมายให้ซื้อเครื่องบินเอฟ-35 ที่มีราคาสูงลิบลิ่ว ทั้งๆ ที่พื้นที่ประเทศสิงคโปร์นั้นไม่พอกับเครื่องบินเอฟ-35 บินขึ้นแค่ 1 นาทีเลย
ดังนั้นประเทศไทยจึงต้องเตรียมรับมือกับแรงกดดันที่จะต้องจัดซื้ออาวุธครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป
แล้วพรรคการเมืองต่างๆ ที่ตั้งแง่จะลดงบประมาณการทหารจะว่าอย่างไร ก็เตรียมรับมือให้ดีก็แล้วกัน!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี