พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริถึงข้อดีและข้อเสียของการปกครองระบอบประชาธิปไตยไว้ดังนี้ การมีรัฐธรรมนูญนั้นจะมีความไม่แน่นอนได้เป็นอันมาก เพราะอำนาจตามระบอบประชาธิปไตยไม่ได้อยู่ที่คนคนเดียว การปกครองระบอบประชาธิปไตยประชาชนมีสิทธิมีเสียงปกครองบ้านเมือง ผู้มีอำนาจจะต้องรับผิดชอบต่อประชาชน ถ้าทำการปกครองบกพร่องต้องยุติบทบาท คือ ลาออก แต่ถ้าประชาชนขาดความรู้ที่จะปกครองตนเองหรือเมื่อมีอำนาจก็อาจใช้อำนาจในทางที่ผิดนอกจากนี้ทรงกล่าวถึงการซื้อสิทธิขายเสียงโดยทรงกล่าวถึงนายทุนมีผลทำให้อำนาจการปกครองที่เป็นของประชาชนไม่ได้อยู่กับประชาชนจริงเพราะนักการเมืองที่มิได้คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนและประเทศ คิดถึงประโยชน์ส่วนตนเป็นสำคัญ
ฉะนั้น เมื่อใดสามารถทำให้เสียงประชาชนเป็นเสียงสวรรค์อย่างแท้จริงนั่นหมายความว่าสังคมนั้นจะเป็นสังคมประชาธิปไตยที่แท้จริงประสบความสำเร็จ
จากพระราชดำริดังกล่าวข้างต้น อาจตีความได้ว่าการทำให้ประเทศมีการปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ตามคำนิยามที่ประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น แห่งสหรัฐอเมริกาได้ให้คำจำกัดความไว้ว่า การปกครองระบอบประชาธิปไตย เป็น “การปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน นั้น จะประสบความสำเร็จสังคมนั้นจะต้องทำลายระบบชนชั้นให้หมดสิ้นไป ดังตัวอย่างเช่น ประเทศสวีเดน ประชาชนทุกคนมีความเท่าเทียมกัน (ยกเว้นพระมหากษัตริย์และราชวงศ์) ระบบชนชั้นไม่มี ตัวอย่างเช่น นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ข้าราชการ ประชาชนทุกอาชีพก็ดี จะมีความเท่าเทียมกันเมื่อหมดเวลาทำงาน (ถอดหัวโขน) มีฐานะเป็นประชาชนคนหนึ่งเท่านั้น
ทหาร ตำรวจ ก็เช่นกันจะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐเฉพาะในเวลาปฏิบัติงานเท่านั้น ตัวอย่างเช่น นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และข้าราชการจะไม่ใช้รถประจำตำแหน่งเมื่อหมดเวลาทำงาน ไม่มีการใช้รถนำขบวน เว้นแต่จะไปราชการสำคัญ ตำรวจจะเป็นตำรวจเฉพาะในเวลาปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น อภิสิทธิ์ชนจะไม่มีในประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวีย ข้าราชการกับพนักงานขับรถแท็กซี่อาศัยอยู่ในอพาร์ทเมนท์เดียวกัน
พฤติกรรมดังกล่าวถือเป็นเรื่องปกติสำหรับประเทศที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง เมื่อหันกลับมาดูประเทศไทยจะพบว่าสังคมไทยไม่เคยเป็นสังคมประชาธิปไตยเลย เพราะเป็นสังคมอมาตยาธิปไตยตลอดมาจนทุกวันนี้ ไม่ว่าในวงราชการ วงการธุรกิจ ตลอดจนวงการอื่น ๆ มีแต่คำว่า “นายกับลูกน้อง” แม้แต่ในบ้านยังมีเจ้านายกับคนรับใช้ ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่าสังคมไทยเป็นสังคมประชาธิปไตยแต่ในนามบ้าง สังคมเผด็จการบ้าง สลับกันไปมาตลอดเวลาเกือบ 87 ปี มาแล้ว จนถึงปัจจุบันทางการเมืองก็เป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบก็จริง แต่สังคมโดยรวมก็ยังคงเป็นสังคมอำมาตยาธิปไตยไม่เคยเปลี่ยนแปลง
สรุปรวมความว่า การปกครองระบอบประชาธิปไตยไม่เคยปรากฏในสังคมไทย ยกเว้นทางการเมืองที่เปลี่ยนจากการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เมื่อคณะราษฎรทำการปฏิวัติเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เปลี่ยนจากการปกครองระบอบประชาธิปไตยแต่ในนาม ผสมกับการปกครองระบอบเผด็จการผลัดกันจึงกล่าวได้ว่า สังคมไทยก็ยังเป็นสังคมอมาตยาธิปไตยตลอดมาจนทุกวันนี้
ฉะนั้น ถ้าจะทำให้ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม จำเป็นที่ประชาชนทุกคนจะต้องช่วยกันทำให้สำเร็จโดยไม่ต้องคอยให้ใครมาหยิบยื่นให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นั่นหมายความว่าคนไทยทุกคนทุกอาชีพ ยกเว้น พระมหากษัตริย์และราชวงศ์ (ชั้นสูง) เท่านั้น ต้องมีความเสมอภาค
กันทุกคนเริ่มต้นจากพฤติกรรมในบ้านเรื่อยไปจนการประกอบธุรกิจรวมถึงวงการราชการทั้งประจำและการเมือง ถ้าประสบความสำเร็จ เมื่อนั้นสังคมไทยจะกล่าวได้อย่างภาคภูมิว่าเป็นสังคมประชาธิปไตยที่แท้จริง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี