มีบทความจากท่านผู้รู้ ส่งมาให้ผมแสดงความคิดเห็นในการเปิดสำรวจปิโตรเลียมรอบใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องน่าสนใจขอนำมาสื่อสารถึงท่านผู้อ่านกันนะครับ
ถือเป็นการขับเคลื่อนครั้งใหญ่ในแวดวงพลังงาน เป็นผลงานส่งท้ายชิ้นสำคัญภายใต้การทำงานของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้วยการลงนามในสัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) สำหรับแหล่งปิโตรเลียมเอราวัณ และบงกชที่กำลังจะสิ้นสุดสัญญาสัมปทานในปี 2565-2566 ที่เป็นการลงนามครั้งประวัติศาสตร์ เพราะเป็นการนำสัญญาแบบแบ่งปันผลผลิตมาใช้เป็นครั้งแรกในประเทศ กับแหล่งก๊าซธรรมชาติทั้ง 2 แหล่ง ที่มีความสำคัญที่สุดที่เป็นแหล่งเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า ที่ได้ดำเนินการผลิตมาเกือบ 40 ปี
อาจจะนับเป็นผลงานชิ้นโบแดงของรัฐบาลนี้ก็ว่าได้ ในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ตลอดเส้นทางของการเปิดประมูลทั้ง 2 แหล่ง ต้องฝ่าฟันอุปสรรคนานาประการจนประเทศเกือบจะเข้าใกล้วิกฤติการขาดแคลนก๊าซธรรมชาติ แต่ก็ผ่านพ้นจนประสบความสำเร็จดังกล่าว
นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รมว.พลังงาน ยืนยัน การลงนามครั้งนี้ก่อประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจ 6.5 แสนล้านบาท ตลอดระยะเวลา 10 ปี มาจากราคาก๊าซธรรมชาติที่ลดลงมาอยู่ที่ราคา 116 บาท/ล้านบีทียู ทั้งสองสัญญามีมูลค่ารวม 5.5 แสนล้านบาท การลงนามในสัญญาของเอราวัณ และบงกช ยังตอบโจทย์นโยบายของรัฐบาลที่ต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า โดยมีการเพิ่มสัดส่วนการผลิตในแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP 2018) จากเดิม 30% เป็น 53% ที่เป็นหลักประกันว่า ประเทศไทยจะมีก๊าซธรรมชาติจากแหล่งปิโตรเลียมภายในประเทศใช้อย่างต่อเนื่องในราคาไม่แพง รวมทั้งสร้างเสถียรภาพด้านพลังงานเป็นฐานพัฒนาระบบเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศ
“ก๊าซธรรมชาติจากแหล่งเอราวัณและบงกช จะทำให้ราคาก๊าซธรรมชาติลดลงอยู่ที่ประมาณ 4 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู จากเดิมราคาประมาณ 6-7 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู ซึ่งไม่เพียงส่งผลให้ ค่าไฟจะไม่แพงขึ้นกว่าในปัจจุบันแล้ว แต่ยังทำให้ค่าไฟปรับลดลงได้อีกประมาณ 15-20 สตางค์ต่อหน่วย อยู่ที่ 3.4 บาทต่อหน่วย จากเดิมราคาอยู่ที่ 3.6 บาทต่อหน่วย” นายศิริกล่าว
ยิ่งกว่านั้น ทำให้ไทยลดการนำเข้าก๊าซในรูปแบบของก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่ต้องจัดหาจากต่างประเทศ จากเดิมแผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติปี 2558-2579 (Gas Plan 2015) กำหนดนำเข้า LNG ถึง 34 ล้านตันต่อปี ในปี 2579 แต่แผนใหม่คาดจะเหลือ 24 ล้านตันต่อปี หลังเอราวัณและบงกชสามารถผลิตก๊าซได้ไม่ต่ำกว่า 1,500 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน หรือทดแทนการนำเข้า LNG ได้ราว 10 ล้านตันช่วยประเทศประหยัดเม็ดเงินจำนวนมาก
แต่ตราบใดการที่ไทยยังคงพึ่งพาการนำเข้า LNG ก็ถือว่า ยังมีความเสี่ยงด้านราคาที่ขึ้นลงตามกลไกการค้าเสรีของโลก ดังนั้น หากรัฐยังวางเป้าหมายที่จะใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า ก็จำเป็นผลักดันเปิดให้ผู้สนใจยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบใหม่เกิดขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสผลิตปิโตรเลียมจากแหล่งในประเทศในอนาคต
แม้ปัจจุบันจะมีปริมาณก๊าซเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากการเซ็นสัญญาในแหล่งเอราวัณ และบงกช แต่นั่น คือ ก๊าซจากแหล่งเดิมที่มีอยู่แล้ว และนับวันมีแต่จะหมดไป จึงมีความจำเป็นต้องเสาะหาแหล่งปิโตรเลียมใหม่ๆ เพื่อเป็นแหล่งพลังงานสำรอง เพื่อเป็นหลักประกันว่า ประเทศไทยจะไม่เข้าสู่สถานการณ์ที่มีความเสี่ยงเรื่องการขาดแคลนก๊าซธรรมชาติในอนาคตขึ้นมาอีก อย่าลืมว่า เราใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า หากไม่มีก๊าซจากแหล่งภายในประเทศที่จะนำมาผลิตไฟฟ้า ค่าไฟฟ้าก็จะปรับตัวสูงขึ้น เพราะต้องพึ่งพาการนำเข้า รวมไปถึงมีโอกาสที่จะเสี่ยงกับไฟดับได้ การเปิดสำรวจแหล่งปิโตรเลียมใหม่ๆ จึงมีความจำเป็นจริงๆ ที่ต้องรีบเร่งดำเนินการ
ซึ่งรัฐบาลได้ตระหนักในเรื่องนี้ จึงได้เดินหน้าต่อ โดยกระทรวงพลังงานมอบหมายกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เร่งรัดดำเนินการเปิดประมูลสำรวจและผลิตแหล่งปิโตรเลียมในอ่าวไทย โดยมีแผนเปิดให้บริษัทเอกชนที่สนใจเสนอตัวเข้าขอรับสิทธิสำรวจและผลิตแหล่งปิโตรเลียมแหล่งใหม่ ภายในเดือนมิถุนายนนี้ เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าพลังงานไม่ว่าจะเป็นน้ำมันหรือ ก๊าซธรรมชาติจากต่างประเทศ
ขณะเดียวกัน รมว.พลังงาน ได้ชี้แจงถึงสาเหตุของการดำเนินการเตรียมเปิดประมูลแหล่งปิโตรเลียมรอบใหม่ แม้จะมีการเลือกตั้งและใกล้จะได้รัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศ ว่า การเดินหน้าเรื่องเปิดประมูลสำรวจและผลิตแหล่งปิโตรเลียมรอบใหม่ ถือว่า มีความจำเป็นต้องเตรียมการไว้ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานไว้รองรับการใช้ที่เพิ่มขึ้นในอนาคต และเมื่อถึงเวลานั้นรัฐบาลชุดใหม่ที่พร้อม ก็สามารถเข้ามาดำเนินการได้โดยทันที
การเปิดประมูลแหล่งปิโตรเลียมรอบใหม่ จึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่รอให้รัฐบาลชุดใหม่ภายหลังการเลือกตั้งเข้ามาสานต่อและไม่ว่าการเมืองจะเปลี่ยนขั้วหรือไม่ แต่นโยบายในการแสวงหาแหล่งปิโตรเลียมใหม่ๆไม่ควรเปลี่ยนแปลง การสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของชาติต้องเดินหน้าต่อไปไม่สามารถหยุดรอได้ ไม่ว่าใครจะเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี