นับแต่ระฆังการเลือกตั้งดังขึ้น การแข่งขันที่ดุเดือด เข้มข้น ก็เริ่มต้นขึ้น ประชาชนคือเป้าหมายของการยื้อแย่ง สร้างความนิยมชมชอบ สร้างความโกรธ กลัว เกลียด และซัดวาระแฝงทางการเมืองเข้าในความคิดของผู้เลือก โดยหวังให้ตนเป็นตัวเลือกที่ “ใช่” ที่สุด
ก่อนถึง “คำตอบสุดท้าย” ของคนเลือก คือการหย่อนบัตรเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 นี้ มาไล่เลียงดูกลยุทธ์และเกม “บีบความคิด” ของประชาชน จากการเมืองฟากฝ่ายต่างๆ กันดีกว่า
1) ฝ่ายพรรคเพื่อไทย และพรรคเครือข่ายร่วมอุดมการณ์ ที่นิยามตัวเองและพรรคพวกว่าเป็น “ฝ่ายประชาธิปไตย” แต่ถูกฝ่ายอื่นๆ มองว่าเป็น “พรรคเครือข่ายทักษิณ” เปิดเกมรุกด้วยการกำหนด “กรอบความคิด” หรือ “ตั้งโจทย์” เข้าบีบความคิดของผู้คนทันทีว่า “จะเลือกฝ่ายประชาธิปไตยหรือเลือกเผด็จการ!”
แคมเปญนี้ “เกิด” ในฝั่งมิตรรักแฟนคลับ “ขาประจำ” ทันที ซึ่งกลุ่มนี้ไม่มีผลอะไรมากนัก เพราะอย่างไรก็รักและเลือกพรรคกลุ่มนี้อยู่แล้ว
การหวังผล คงหวังไปยังกลุ่ม “คนรุ่นใหม่” และคนที่ “ไม่มีพรรคประจำใจ” ให้อย่าคิดไปจาก “กรอบ” นี้นะ เอ็งจงคิดแค่ 2 ตัวเลือกนี้เท่านั้น มันมีเท่านี้จริงๆ นะเว้ย!!
ครึกครื้นกันอยู่พักหนึ่ง ก็ปรากฏว่า “พรรคอนาคตใหม่” กระโจนเข้ามา “เบียดพื้นที่” ด้วยคอนเซ็ปต์เดียวกัน คือ ต่อต้านเผด็จการ ลบล้างผลพวงของรัฐประหาร แก้รัฐธรรมนูญทันที และมีภาพลักษณ์เป็น “คนหนุ่มรุ่นใหม่” ที่ใจพร้อม จะเข้ามาแก้ไข สิ่งที่ “คนรุ่นหนึ่ง” สร้างปัญหาไว้ไม่รู้จบ ความมั่นคงของพรรคเพื่อไทย “กระทบ” ทันที เพราะนี่คือยี่ห้อใหม่ที่ย่องเข้ามา “เจาะตลาดเดียวกัน”
ประกอบกับรัฐธรรมนูญใหม่ ทำให้เกิดการเลือกตั้งในระบบที่เรียกว่า “จัดสรรปันส่วนผสม” ส่งผลให้ยากที่พรรคการเมืองจะครองเสียงข้างมากในสภาได้เพียงพรรคใดพรรคหนึ่ง “รัฐบาลผสม” เท่านั้น ที่เป็นจริงได้
ไหนจะมี สว.250 คน มาร่วมยกมือเลือกหรือไม่เลือกนายกรัฐมนตรีได้ด้วย และ สว.เหล่านี้ กลุ่มหนึ่งให้คนมาสมัคร แล้วเลือกกันมาโดยลำดับ ก่อนจะมาจบที่ คสช. ติ๊กถูกในขั้นตอนสุดท้ายว่าจะเอาใคร ไม่เอาใคร อีกกลุ่มหนึ่งมาโดยตำแหน่ง ไม่เยอะ 6 ท่าน จากผู้บัญชาการเหล่าทัพต่างๆ และระดับปลัด สะท้อนว่าออกแบบเพื่อให้ฝ่ายกองทัพมามีส่วนร่วมกับการเมืองตั้งแต่ต้น มองด้านดีคือ ให้รู้ปัญหาของบ้านเมืองไปด้วยกัน หากมีส่วนหนึ่งส่วนใดไปเกี่ยวข้องกับบทบาทหน้าที่ของกองทัพ ก็จะได้ทำเสียตั้งแต่ต้น ไม่ต้องรอเวลากรีธาทัพออกมายึดอำนาจ ซึ่งมีผลข้างเคียงมาก หรือมองด้านร้าย คือ กองทัพยังคงกำกับอำนาจทางการเมืองอยู่ ไม่ได้ถอนตัวกลับเข้าสู่ที่ทางปกติของตนเอง กลุ่มสุดท้ายมากพอสมควร ที่ให้ คสช. เลือกและเชิญคนที่เขาอยากให้เป็น สว.เข้ามาเป็นเลย จบ!
เป็นไปได้ที่พรรคเพื่อไทยและพวก จะมองว่า นี่คือ “ค่ายกล” ที่ถูกสร้างไว้เพื่อทอนอำนาจของฝ่ายตัว จึง “แก้เกม” ด้วยวิธีที่ถูกเรียกว่า “แตกแบงก์พันเป็นแบงก์ร้อย” แรกทีเดียวก็พยายามปฏิเสธ ว่าการเกิดขึ้นของพรรคไทยรักษาชาติ เพื่อชาติ และอื่นๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน สักระยะจึงยืนยันเสียงแข็งว่า ก็กฎหมายไม่ใช่เหรอ ที่บีบบังคับให้ต้องทำอย่างนี้
การบีบกรอบคิดของคนให้ “ต้องเลือก” ว่าจะเอาเผด็จการหรือฝ่ายประชาธิปไตยจึงเกิดขึ้นทันที
การเรียกตัวเองว่าฝ่ายประชาธิปไตยก็คือการจับจองพื้นที่ความดี แล้วผลักอีกฝ่ายให้เป็นเผด็จการ จากนั้นกลยุทธ์การหาเสียงก็พุ่งเป้าไปที่ทหาร ลดขนาดกองทัพ ไม่มีการเกณฑ์ทหารตัดงบกระทรวงกลาโหม ซึ่งได้คะแนนจากฝ่าย “เกลียดทหาร-เกลียดรัฐประหาร” แต่ก็เสียคะแนนจากฝ่ายกลางๆ ที่เฝ้าสังเกตการณ์ ว่ามุ่งแก้แค้นส่วนตัวมากเกินไป จนลืมว่าอาจเกิดผลข้างเคียงต่อชาติบ้านเมือง ซึ่งเป็นวิธีแบบ “นักการเมืองเก่าๆ” ตรงนี้จึงเปิดให้พรรคอนาคตใหม่แทรกตัวเข้ามาทำคะแนน เพราะมีจุดยืนไม่เอาทหาร ไม่เอาเผด็จการเหมือนกัน แต่อย่างน้อยก็พูดในนาม “คนรุ่นใหม่” ที่ไม่ได้อาศัย “แค้นฝังหุ่น” เป็นตัวผลักดันอย่างโฉ่งฉ่าง แม้จริงๆ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ก็มี “ความหลังฝังใจ” ของทหารเป็นแรงผลักดันไม่ต่างกันก็ตาม
2) เกิดการแตกตัวเป็นพรรค “ไทยรักษาชาติ” นำคนรุ่นใหม่อย่างร้อยโทปรีชาพล พงษ์พานิช ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรค เป็นคนรุ่นใหม่เสียเป็นส่วนใหญ่ การกำหนดตำแหน่งสินค้าจึงดูใกล้เคียงกับพรรคอนาคตใหม่มาก ต่างกันก็แค่ระดับนำในพรรค เป็น “ลูกท่านหลานเธอ” ของ “ฝ่ายทักษิณ” ชัดเจนไปหน่อย จึงกระทบกับอนาคตใหม่ในระดับที่ไม่รุนแรงมาก
พรรคนี้เดินเกมไม่ต่างจากพรรคป้า คือ เดินหน้าย้ำคำว่า “เผด็จการ” กับ “ประชาธิปไตย” ซึ่งในความรู้สึกคนทั่วไป ก็ไม่ต่างอะไรจากพรรคเพื่อไทย แค่เป็นระดับ “ยุวชน”
จนกระทั่งเปิดเกมแรง ทิ้งไพ่ใหญ่ผ่านชื่อ “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” ที่ตื่นตะลึงจังงังกันไปทั้งประเทศ เกมนี้แรงมากแต่ก็พลาดมาก ศึกษาข้อกฎหมายไม่รอบคอบ จึงกลายเป็นความผิด เป็นการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โทษจบลงที่การ “ยุบพรรค” และ “ตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค” 10 ปี
3) ชื่อแคนดิเดตนายกฯ ของไทยรักษาชาตินี้ ดูเป็น “ดีล” ที่ “ใหญ่เกินตัว” หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคคนจึง “อ่านสัญญาณ” ว่า ต้องเป็นดีลของ “ทักษิณ ชินวัตร” กรอบคิดทางการเมืองจึงถูกพลิกจาก “เอา/ไม่เอาการสืบทอดอำนาจของทหาร” มาเป็น “กลัวมั้ย ทักษิณยังไม่วางมือ/ทักษิณจะกลับมา” คะแนนดีดกลับมาฝั่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ถูกมองเป็น “สัญลักษณ์” อะไรบางอย่างทันที ว่าต้อง “คนนี้เท่านั้น” ถึงจะ “เอาอยู่”
4) พรรค “สุเทพ เทือกสุบรรณ” เปิดเกม “ยอมพลีชีพเพื่อต่อสู้กับระบอบทักษิณ” ทันที ขณะที่พรรคพลังประชารัฐ ซึ่ง “รวมกันเฉพาะกิจ” เพื่อ “หนุนลุงตู่” สู่เก้าอี้นายกฯ หลังการเลือกตั้ง เลือกที่จะไม่ปะทะกับฝ่ายทักษิณโดยตรง บวกกับคนเกือบครึ่งพรรค ก็มาจาก “ลูกน้องเก่า” ของทักษิณเองหรือแม้กระทั่งกุนซือใหญ่ อย่างนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ก็เคยเป็น “มิตรรัก” ของทักษิณมาก่อน ช่วยงานกันมา จะมีก็แค่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ กับอดีต สส. บางคนที่ย้ายมาจากพรรคเพื่อไทย พูดถึงทักษิณพอหอมปากหอมคอ ให้เป็นข่าวและเกิดความคิดในทำนองว่า เขาตัดขาดจากทักษิณกันแล้ว
5) พรรคประชาธิปัตย์ วางตำแหน่งของตนเป็น “ทางเลือกที่ 3” หรือ “ก๊กที่ 3” โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคที่มาจากการเลือกตรงของสมาชิกพรรค พยายามเปลี่ยนโจทย์ของการเลือกตั้งให้เป็นธรรมต่อประชาชนและพรรคการเมืองอื่นๆ มากขึ้น ด้วยการบอกว่า “ทำไมเราต้องไปบังคับให้คนเลือกข้าง ที่จะนำความขัดแย้งกลับเข้ามาในสังคมไทยอีก ทำไมต้องบีบให้คนมีแค่ 2 ทางเลือก ว่าจะเอาทักษิณหรือจะเอาประยุทธ์ ในเมื่อมีพรรคการเมืองอื่นๆ อีกเป็นร้อยๆ พรรค และโดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ ก็ขอเสนอตัวเป็นทางเลือกหลักทางหนึ่ง ที่พร้อมจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล หากได้รับการเลือกมาจากประชาชนให้ได้จำนวน สส. มากพอที่จะดำเนินการได้”
ประชาชนที่อยู่ในขั้วความขัดแย้งไม่ค่อยจะสนใจประเด็นนี้ แต่ประชาชนที่เบื่อหน่ายความขัดแย้งเต็มทีเริ่มฉุกคิด และสลัดหลุดจากเกมที่ถูกบีบให้ต้องเลือกแค่ 2 ทาง ว่าจะไปทางประยุทธ์ หรือไปทางฝ่ายทักษิณ หันมาดูตัวเลือกอื่นๆ นั่นรวมถึงหันมาดู “ประชาธิปัตย์” ด้วย
6) แทงกั๊ก-จึงกลายเป็นวาทกรรมที่ถูกซัดใส่นายอภิสิทธิ์ทันที เพื่อลากเกมกลับเข้าสู่การ “ต้องเลือก” ว่าจะอยู่ข้างไหน พรรคประชาธิปัตย์ที่เอาแต่หากเสียงด้วยการ “ชูนโยบาย” ซึ่งศึกษาและออกแบบมาด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง เพื่อจะแก้ปัญหาของประชาชนที่ทุกข์ยากอยู่ และแก้ปัญหาของประเทศที่กำลังจะตกยุค-ตกโลก ตามไม่ทันการหมุนของโลก เพราะหยุดอยู่ที่ความขัดแย้งภายในกันมานาน ถูกมองว่า “จืดชืด” เก่าเก็บ สื่อไม่ค่อยเสนอข่าวประชาธิปัตย์ เพราะไม่ค่อยทะเลาะหรือขัดแย้งกับใครให้หยิบมาขยี้ เพื่อขายเป็นสินค้าได้
แต่หลายคนเริ่มเอะใจ ว่าทำไมประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นนักต่อล้อต่อเถียง โดยเฉพาะหัวหน้าพรรค จึงหยุดต่อปากต่อคำกับทุกคนพูดน้อย พูดเฉพาะเรื่องที่กระทบกับหลักการเสรีประชาธิปไตยและประโยชน์ของประชาชนเท่านั้น เขาเป็นอะไรไป เมื่อเพ่งพินิจก็เริ่มเข้าใจว่า อภิสิทธิ์ต้องการสร้าง “บรรยากาศการเมือง” แบบใหม่ ที่ปลอดพ้นจากความขัดแย้ง อยากให้บ้านเมือง “เดินหน้า” ด้วย “นโยบาย” เอาความทุกข์ยากของประชาชนขึ้นก่อนการ “เล่นการเมือง” กัน แต่ในเวลานั้น ข่าวของอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ก็จมหายไปจากพื้นที่ข่าวในทุกช่องทาง เพราะไม่ว่าระดับผู้ใหญ่ในพรรค ดาวเด่น หรือผู้สมัคร ล้วนคร่ำเคร่งต่อการนำเสนอนโยบาย แก้จน สร้างคน สร้างชาติ” และคร่ำเคร่งอยู่กับหลักการ “ประชาชนเป็นใหญ่ ประชาธิปไตยสุจริต”
ได้ไปร่วมเวทีดีเบตหรือให้สัมภาษณ์รายการใด ก็ถูกซักแต่เรื่องจะจับมือกับใคร ข้างไหน ข้าง พล.อ.ประยุทธ์ หรือข้างคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แทบไม่เป็นอันได้นำเสนอนโยบาย ซึ่งเป็นความตั้งใจและความพิถีพิถันที่สุดที่พรรคประชาธิปัตย์ทุ่มเทคิด
7) หมดเวลาเกรงใจแล้วครับ อภิสิทธิ์ปล่อยคลิป ไม่จับมือกับพรรคฝ่ายทุจริต ไม่ว่าจะ “บกพร่องโดยสุจริต” หรือ “ทุจริตเชิงนโยบาย” แน่นอน บริบทมันชี้ชัดไปที่ “ฝ่ายทักษิณ” แต่ก็ยังถูกมองว่า ทำไมไม่พูดให้ชัดว่าคือพรรคไหน ในเวลานั้นพรรคเพื่อไทยก็สงวนท่าที เพราะหากออกมาโวยวายก็เท่ากับยอมรับว่า พรรคที่มีพฤติกรรมทุจริตนั้น คือพรรคตน
8) กระทั่งคลิปที่ 2 ถูกปล่อยออกมา คราวนี้การเมืองไทย “สั่นไหวทั้งแผ่นดิน” โดยนายอภิสิทธิ์ประกาศว่า ผมไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯต่อแน่ โดยอ้างถึง 2 กรณีว่า มีความ
ล้มเหลวทางเศรษฐกิจและมีการสืบทอดอำนาจ
สื่อหยิบไปขยี้ข่าวกันอย่างเมามัน ผู้คนโจษจัน อกหัก เสียใจ โกรธ ที่ทำไมประชาธิปัตย์ไม่หนุน พล.อ.ประยุทธ์ แล้วประเทศชาติจะไปต่อยังไง
อาการทั้งหมดเกิดเพราะการเมืองก่อนหน้านั้นไป “บีบความคิด” ของคนเอาไว้ ว่าบ้านเมืองมีแค่ 2 ทางเลือกเท่านั้น คือจะเอาประยุทธ์ หรือจะเอาฝ่ายทักษิณ นี่เป็นหลักฐานยืนยันว่า การบีบความคิดให้เหลือแค่ 2 ขั้ว 2 ข้างนั้น ได้ผลจริง!!
9) ผ่านความโกรธ เคือง แค้น ขุ่นมัว ของมิตรรักแฟนเพลงประชาธิปัตย์ได้สี่ห้าวัน เป็นสี่ห้าวันที่สื่อรุมเชิญตัวนายอภิสิทธิ์ไปออกรายการ ตามไปสัมภาษณ์ขณะลงพื้นที่หาเสียง จับจ้อง
ดูการปราศรัย ทำให้ “นโยบาย” ได้รับการนำมาเสนอสู่การรับรู้ของประชาชนและ “ต้องถาม” ด้วยความเกรงใจ เพราะสื่ออยากถามเรื่องที่เขาประกาศมากกว่า แต่จะไม่ถามนโยบายเสียเลยก็ดูไม่ดี (ฮา...) อภิสิทธิ์กับประชาธิปัตย์จึงได้มีโอกาสแสดงจุดยืนชัดๆ อีกครั้งหนึ่งว่า
• แสดงจุดยืนนี้มานานแล้ว ว่าไม่ต้องเลือกข้างหนึ่งข้างใด แต่ประชาชนมีทางเลือกอื่น
• ประชาธิปัตย์ไม่เอาทั้งการสืบทอดอำนาจและการทุจริต ประชาธิปไตยที่ใช้การได้ต้องเป็นประชาธิปไตยสุจริต ลดความขัดแย้ง และเดินหน้าประเทศด้วยนโยบายที่มีความรับผิดชอบ
• ยังคงนับถือและชื่นชม พล.อ.ประยุทธ์ เพราะเคยร่วมงานกันมา ขอบคุณและรู้ว่าท่านเป็นคนดี แต่ในทางการเมือง ต้องยึดเอาโอกาสและประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติก่อนความสัมพันธ์ส่วนตัว
10) สิ่งที่อภิสิทธิ์ไม่ได้พูดออกมา แต่เราทุกคนควรจะคิดต่อก็คือ
• หมดเวลาของกองทัพแล้ว ที่จะมาเดินยุ่มย่ามอยู่กับการเมือง เว้นพื้นที่ของกันและกัน กลับไปเป็นทหารอาชีพ ซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญของคณะท่าน และให้นักการเมืองมืออาชีพได้ทำงานเถอะ ความขัดแย้งจะได้จบลงสักหนึ่งเงื่อนไข ไม่งั้นอีกฝ่ายก็เล่นไม่เลือก แล้วประชาชนจะได้อะไร นอกจากถูกใช้เป็น “นักรบทางการเมือง” ทำ “สงครามตัวแทน” ที่ “ไม่รู้จบ”
• รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เคยยอมรับว่าเศรษฐกิจฐานรากมีปัญหา ทุ่มเถียงอยู่เสมอมาว่าเศรษฐกิจดี ความยึดโยงกับประชาชนมีน้อยมาก ทำทุกอย่างเอง ประชาชนเป็นได้แค่พลทหารที่รอฟังคำสั่งให้ปฏิบัติ และเชื่อในทีมเศรษฐกิจของตนโดยที่ตนไม่รู้พอว่ามันหลงทางก่อให้เกิดภาวะรวยกระจุก จนกระจาย เอกชนและกลุ่มทุนหน้าใส ประชาชนหน้าเศร้า
• พล.อ.ประยุทธ์คือปัจจัยของความขัดแย้ง เรียกแขกมาเอง แม้ท่านไม่ได้เรียกมันก็มา ดังนั้นดึงท่านออกจากสมการเสีย ความเสี่ยงที่จะเกิดความขัดแย้งก็ทุเลาลง ยิ่งท่านอยู่ต่อ แล้วเกิด สว.เข้าข้างท่านจนเกินงาม เรื่องการโจมตีที่ท่านและคณะเขียนกฎหมายสารพัด ปรุงให้ท่านมาเป็นนายกฯ พร้อม สว.250 คน เป็นแผงหลัง ก็จะไม่จบไม่สิ้น ไหนจะกองทัพที่ถูกลากมาขัดแย้งกับฝ่ายการเมืองอีกล่ะ
• อภิสิทธิ์, กรณ์ จาติกวณิช และคนอื่นๆ ในพรค จึงพยายามยืนหยัดสู้กับเกมบีบความคิดทางการเมือง ให้คนหันมามองทางเลือกที่ 3 ที่ไม่ขัดแย้งกับใคร จะนำนโยบายมาแก้ไขด้วยหลักการว่า “ประชาชนอยู่รอด ประเทศชาติอยู่ได้” โดยมั่นใจว่าเรื่อง “ความสงบ” นั้น ฝ่ายความมั่นคงจะทำหน้าที่อย่างดี ไม่ว่าใครขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีก็ตาม
11) สุเทพ เทือกสุบรรณ โผล่พรวดพราดออกมา ปราศรัยโจมตีนายอภิสิทธิ์ สามคืนรวด ที่พังงา ภูเก็ต และสุราษฎร์ธานี ในทำนองที่จะทำให้คนเข้าใจว่าอภิสิทธิ์จับมือกับทักษิณแล้ว ซึ่งเป็น
ความเท็จ และไม่คิดว่าคนอย่างสุเทพ จะจนตรอกถึงกับต้องใช้มุขนี้ บั่นทอนคุณค่าและความน่าเชื่อถือของตัวเองลง ไม่รวมการลำเลิกบุญคุณ และการพูดที่ทำให้คนเชื่อว่า สุเทพชุมนุมเพื่อให้ประยุทธ์รัฐประหาร และยังดันให้ประยุทธ์เป็นนายกฯต่ออีก และจบที่คำถามว่าสุเทพต้องการอะไรจากประยุทธ์?
สรุปสุดท้าย : พรรคที่เรียกตัวเองว่าฝ่ายประชาธิปไตย ตกไปจากกระดานทางการเมืองแล้ว เพราะเอาความคุมแค้นนำการพัฒนา อารมณ์ทางการเมืองตอนนี้จึงมาจบที่ว่า “ลุงตู่” หรือ “พี่มาร์ค” ซึ่งแต่ละคนก็มีวิธี “ชั่งน้ำหนัก” ก่อนตัดสินใจต่างกันไป ส่วนหนึ่งเลือกตาม “ความรู้สึกเชื่อมั่น/ไม่เชื่อมั่นในความสงบ” ซึ่งเป็นหน้าที่ของฝ่ายความมั่นคง อีกส่วนหนึ่งเลือกจะพิจารณาที่นโยบาย ทีมงานที่เปิดเผยตัว และปัญหาที่แท้จริงของประเทศเวลานี้คือปัญหาเศรษฐกิจ
สุดท้ายของสุดท้าย : พรรคพลังประชารัฐ ตัดสินใจประกาศไม้เด็ด ค่าแรง 400-425 บาท แทนที่จะได้รับความฮือฮา กลับกลายเป็นความวิตกกังวลว่า คณะบุคคลด้านเศรษฐกิจของพรรคนี้หวังผลทางการเมือง มากกว่ารักษาหลักการด้านงบประมาณและผลกระทบต่อสังคม ความลังเลใจของคนที่เคยจะเลือกเพียงเพราะ “ลูงตู่” ก็เริ่มหันดูดูว่า “ใครแอบอยู่หลังลุงตู่กันบ้าง”
และเริ่มได้คิดว่า คะแนนในบัตรเลือกตั้ง ให้คนเหล่านั้นได้เป็น สส.เข้าสภา ลุงตู่ต้องไปรอว่า พวกเขาจะโหวตเลือกไหม?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี