สัปดาห์ที่ผ่านมา มีโพลล์เลือกตั้งจากสถาบันวิชาการแห่งหนึ่ง จัดเก็บข้อมูลรายละเอียดกระจายเขตเลือกตั้ง และมีกลุ่มตัวอย่างที่ใหญ่กว่าโพลล์อื่นๆ เปิดเผยผลสรุปไว้อย่างน่าสนใจ
1. โพลล์ประเมินว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ จะมีคนออกไปเลือกตั้งเกิน 80% จากผู้มีสิทธิ 51 ล้านคน
อยู่ที่ 75-80 %
หรือประมาณ 38-41 ล้านคน
2. ตัวบุคคลที่ประชาชนอยากให้เป็นนายกรัฐมนตรีอันดับหนึ่ง สรุปว่าเป็นคนเดิม
คะแนนเสถียรมาก ยืนหนึ่งมาตลอด
อันดับสอง เป็นการเบียดกันขึ้น-ลง ระหว่างแคนดิเดตของพรรคการเมืองใหญ่เจ้าเก่า
3. สำหรับผลสำรวจ สส. โพลล์บอกว่า
พรรคอันดับหนึ่ง จะได้ สส.เขต 128ที่นั่ง (ไม่ได้บัญชีรายชื่อ)
พรรคอันดับสอง จะได้ สส.100 ที่นั่ง
พรรคอันดับสาม จะได้ สส.86 ที่นั่ง
พรรคอันดับสี่ จะได้ สส. 38 ที่นั่ง
พรรคหน้าใหม่ที่ประกาศจะสานต่องานคณะราษฎร จะได้ สส. 30 ที่นั่ง
พรรคด่าทหาร จะได้ สส. 25 ที่นั่ง
พรรคเชียร์ลุง จะได้ สส. 25 ที่นั่ง
พรรคปลาไหล จะได้ สส. 19 ที่นั่ง ฯลฯ
4. โพลล์บอกว่า คะแนนเสียงในเกือบทุกเขตเลือกตั้งยังมีโอกาสพลิกผัน เพราะเขตที่ชนะเลือกตั้งราว 75% ชนะกันไม่เกิน 5% ของคะแนนเสียง หรือชนะกันไม่เกิน 5,500 เสียง
เขตที่ชนะกันเกิน 5% (เกิน 5,500 เสียง) มีราว 25% เท่านั้น
ในเขตเหล่านี้เขตที่ชนะเกิน 10% ขึ้นไป (เกิน 15,000 เสียง) มีประมาณ 10% เท่านั้น
เพราะฉะนั้นเขตการเลือกตั้งส่วนใหญ่ ประมาณ 260 เขตทั่วประเทศยังมีความไม่แน่นอนค่อนข้างมาก
นั่นหมายความว่า ยังมีโอกาสพลิกแพ้ชนะกันได้ตลอด
จำนวน สส.บัญชีรายชื่อก็อาจพลิกไปมาได้ด้วย (บางพรรค อาจกลับมาได้ สส.บัญชีรายชื่อ หากว่าเขตเลือกตั้งบางเขตพลาดไปบ้าง ทำให้จำนวน สส.เขตที่ได้ยังน้อยกว่า สส.พึงมีที่คำนวณจากคะแนนรวมทั้งประเทศ)
5. โพลล์บอกว่า พรรคอันดับสอง ได้คะแนนลำดับที่ 2 ของเขตต่างๆ ทั่วประเทศถึง 200 เขต
มีโอกาสพลิกกลับมาเป็นอันดับ 1 ในแต่ละเขตได้ในโค้งสุดท้าย
โดยคะแนนตามหลังพรรคอันดับหนึ่งในแต่ละเขตไม่เกิน 3,500 คะแนน
คะแนน จึงมีโอกาสพลิกแพ้ชนะกันได้ตลอด
ถ้าแบบนี้ คุณหญิงน่าจะโล่งใจ ที่พรรคอาจได้จำนวน สส.เขตน้อยลง แต่พรรคก็กลับมาได้ สส.บัญชีรายชื่อบ้าง ให้ตนเองไม่สอบตกให้เสียหน้า
6. โพลล์บอกว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ที่ภาคอีสานจะเป็นการขับเคี่ยวระหว่างพรรคอันดับหนึ่ง กับพรรคอันดับสอง เป็นหลัก เช่นเดียวกับที่ภาคเหนือ โดยพรรคอันดับหนึ่งน่าจะได้ที่นั่ง สส.เขตไปมากที่สุด
แต่พื้นที่ภาคกลาง พรรคอันดับสอง กลับจะคว้าชัยชนะเด็ดขาด
ส่วนในพื้นที่กรุงเทพฯ และภาคใต้ จะเป็นพรรคอันดับสาม ได้ สส.เขตมากที่สุด
7. ผู้วิจัยประเมินว่า ในช่วงโค้งสุดท้าย 10 วันอันตราย พรรคอันดับสองน่าจะได้ สส.จำนวนมากกว่าเดิม
คาดว่าจะอยู่ระหว่าง 110 – 130 เสียง
เบียดสูสีพรรคอันดับหนึ่งที่จะได้ลดลงจากเดิมที่คาดว่าจะได้ 128
ผู้วิจัยมองว่า พรรคอันดับสอง (หรืออาจกลายเป็นอันดับหนึ่ง) จะจับมือกับพรรคอันดับสาม และพรรคพันธมิตร จัดตั้งรัฐบาลที่มีเสียงระหว่าง 285 – 310 เสียง
ส่วนพรรคร่วมฝ่ายค้านที่จะมีเสียง สส.ราว 180–190 เสียง
ยังไม่นับรวมเสียง สว. 250 คน
8. ถ้าแบบนี้
เมื่อพรรคอันดับหนึ่ง ประกาศไม่จับมือกับพรรคอันดับสองและสามแน่นอน
พรรคอันดับสอง ประกาศขอรอฟังคะแนนเสียงจากประชาชน
พรรคอันดับสาม ประกาศไม่จับมือกับอันดับหนึ่งแน่นอน แต่อาจจับกับอันดับสอง
พรรคอันดับสี่ ประกาศว่าจะจับมือกับพรรคที่เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ และไม่สร้างเงื่อนไขความขัดแย้งกลับมาอีก (ขณะที่พรรคเครือข่ายของอันดับหนึ่งถูกยุบพรรคเพราะกระทำการเป็นปฏิปักษ์ฯ)
พรรคอันดับสอง สาม และสี่ จึงมีความชอบธรรมเต็มที่ในการจับมือกัน ตั้งรัฐบาล
ใครจะรวบรวมเสียง สส.ในสภาได้เกิน 250 เสียง
แล้วไปหาเสียง สว.เพิ่มเติม ว่าจะหนุนบุคคลที่มีชื่อในบัญชีพรรคไหนให้เป็นนายกรัฐมนตรี
ก็จะได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ที่มีเสียงหนุนในสภาผู้แทนราษฎรเกิน 250 เสียง และอาจมีเสียงสนับสนุนแน่นหนาใน สว. 250 เสียง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี