ฤดูหาเสียงครั้งนี้ดูไม่คึกคักเท่าที่ควร ไม่ว่าจะเป็นป้ายผู้สมัคร รถหาเสียง เวทีปราศรัยใหญ่เล็กหรือแม้กระทั่งการเดินหาเสียงตามท้องถนน ตรอก ซอย สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะกฎเหล็กของคณะกรรมการการเลือกตั้งที่คุมเข้มเรื่องค่าใช้จ่ายไม่ให้เกินเพดาน มิฉะนั้นโทษต่างๆ ก็จะตามมา เสมือนเด็กๆ ขัดคำสั่ง แล้วต้องถูกลงโทษ
บรรยากาศโดยทั่วไปจึงดูอึมครึม เงียบเหงาชอบกลๆ อยู่ หรืออาจเป็นได้ว่า การแสดงตัวตนของผู้สมัครกับการติดตามวิพากษ์วิจารณ์ของชาวบ้านจะกระทำกันผ่านทางระบบสื่อสังคมสมัยใหม่มากขึ้นตามสมัยนิยม เวทีสาธารณะกลางแจ้งก็เลยมีความสำคัญน้อยลงก็ว่าได้
อย่างไรก็ตาม ก็คงต้องตระหนักว่า การเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคมนี้ อยู่ในกรอบกติกาของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 20 ออกในปี 2560 ด้วยผลของการลงประชามตินั้น มีผลให้ประเทศไทยเป็นสังคมประชาธิปไตยแบบครึ่งใบ หรือแบบจำกัด อาทิ การมีวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้ง แถมยังมีข้าราชการประจำที่เป็นนายทหารนั่งเป็นวุฒิสมาชิกได้อีกด้วย หรือการมีคณะกรรมการยุทธศาสตร์ที่ถูกแต่งตั้ง และมิได้มีการโยงใยกับประชาชนพลเมืองในการสรรหาและคัดเลือก เป็นต้น
อีกทั้งระยะเวลาให้พรรคการเมืองได้เตรียมการเตรียมเนื้อเตรียมตัว ก็เป็นระยะสั้นๆ หลังจากที่ถูกห้ามมิให้มีกิจกรรมใดๆ ร่วมกว่า 4 ปี
และแล้วผู้จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ก็ไม่ต้องได้รับเลือกเป็นผู้แทนราษฎรเสียก่อน แต่ให้มีชื่อเสนอโดยพรรคการเมืองไว้แล้ว ให้แข่งขันกันในรัฐสภา โดยรัฐสภาในส่วนของวุฒิสภาก็มีอำนาจที่จะร่วมลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรีด้วยได้ ทั้งที่มิได้มาจากเสียงประชาชน
ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลทหารซึ่งต่อมาได้ตั้งพรรคการเมืองในนาม พรรคพลังประชารัฐ และได้มีความได้เปรียบในการสร้างฐานเสียงและคะแนนนิยมด้วยการไปปรากฏตัวได้ทั่วประเทศ และสร้างเครือข่ายสนับสนุนผ่านคำมั่นสัญญาว่า ด้วยโครงการพัฒนาต่างๆ และด้วยมาตรการประชานิยมที่ใช้เงินภาษีหว่านออกไปยังกลุ่มเป้าหมายต่างๆ ทำให้อยู่ในฐานะที่ได้เปรียบกว่าพรรคอื่นอย่างมากมาย
อีกทั้งได้เกิดการเสริมสร้างแนวคิดบุคคลบูชานิยม (Personality Cult) ในร่างทรงของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะปฏิวัติรัฐประหาร ประธานคณะรักษาความมั่นคงแห่งชาติ (คสช.) และนายกรัฐมนตรี และผู้ได้รับการเสนอชื่อโดยพรรคพลังประชารัฐเข้าแข่งขันในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อการเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคมนี้แล้วเสร็จ
นอกจากกรอบกติกาของการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภาและนายกรัฐมนตรีจะไม่เป็นประชาธิปไตยแบบสากล หรือแบบที่ได้เคยใช้และคุ้นเคยกันในสังคมไทยมาแล้ว มองไปที่หน้าตาของนักการเมืองแล้ว ส่วนใหญ่ก็หน้าเดิมๆ ทั้งนั้น ที่เคยเป็นตัวปัญหากับบ้านเมือง ที่มักจะเป็นนักเลือกตั้งมากกว่าเป็นนักการเมือง ที่เป็นลูกน้องลูกมือ ข้าทาสของผู้นำ ผู้กุมพรรคการเมืองมากกว่าจะมีความเป็นตัวของตัวเองด้วยอุดมคติ อุดมการณ์ และแล้วในแง่นโยบายและมาตรการที่เสนอต่อสาธารณชนเพื่อขับเคลื่อนนำพาประเทศก็ดูจะเป็นคำกล่าวที่สูงส่ง สวยหรู ซึ่งสะท้อนโดยทั่วไปว่า พรรคใดจะมีเลือดเป็นประชานิยมมากกว่ากัน ซึ่งหมายถึงการมีแค่นโยบายและมาตรการของการใช้เงินงบประมาณจากภาษีราษฎร โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อวินัยการเงินการคลัง และที่สำคัญยิ่งคือ มิได้มีการกล่าวถึงการหาและเพิ่มพูนรายได้ให้กับประเทศชาติ และการกล่าวถึงการสร้างงานและสร้างรายได้ที่ยั่งยืนกันแต่อย่างใด
อีกทั้งเรื่องที่สำคัญที่พูดกันทั่วไป และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์โดยแวดวงประชาคมโลกเกี่ยวกับสถานะของประเทศ เช่น เรื่องความเหลื่อมล้ำ
อย่างยิ่งในสังคมไทย หรือขีดความสามารถในการพัฒนาและในการแข่งขันค้าขายที่อ่อนเปลี้ย ก็มิได้รับการคิด พิจารณา และเสนอต่อสาธารณชนในช่วงฤดูหาเสียงนี้โดยบรรดาพรรคการเมืองใดๆ อย่างเป็นชิ้นเป็นอันอย่างผิดสังเกตทีเดียว
ก็เป็นเรื่องน่าเป็นห่วงยิ่งว่า ในช่วงโค้งสุดท้ายนี้ยังไม่มีเรื่องที่ชนะใจ ถึงใจ และให้กำลังใจเกี่ยวกับอนาคตประเทศ ก็ได้แต่บอกกับตัวเองว่า ไปหย่อนบัตรเสียก่อน ให้ประชาธิปไตยได้เริ่มกลับมาก่อน แล้วค่อยไปว่ากันทีหลัง ในการบีบให้พรรคการเมืองและนักการเมืองรับใช้ชาติมากกว่าตนเอง
ซึ่งก็หมายความว่า การไปหย่อนบัตรที่คูหาเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคมนี้ แค่เป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้น เราประชาชนพลเมืองยังมีงานที่ต้องทำกันต่อไปอีกมากมาย โดยเฉพาะให้พรรคการเมืองและนักการเมืองรับใช้เรา ไม่ใช่เอาอำนาจของเราไปปู้ยี่ปู้ยำ
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี