วันที่ 24 มีนาคม พ.ศ.2562 นี้เป็นวันเลือกตั้งผู้แทนราษฎรเพื่อไปทำหน้าที่แทนราษฎรในสภาฯ เพราะฉะนั้นในช่วงเวลาที่ผ่านมาใกล้ๆ นี้ เราจึงได้ยิน ได้ฟังเสียงของผู้สมัครรับการเลือกตั้ง ที่ออกหาเสียงกันอย่างสนั่นหวั่นไหวเพื่อขอคะแนนเสียง รวมทั้งป้ายหาเสียงที่นำไปติดไว้ตามที่ต่างๆให้คนเห็น
ทั้งเสียงที่ได้ยินในการหาเสียง และป้ายหาเสียงของผู้สมัครดังกล่าว ถ้าจะให้สรุปความหมายแล้วไม่พ้นเรื่อง “สร้างความหวัง ยังความกลัว ยั่วให้เกลียด”
สร้างความหวังให้กับทุกคนว่าชีวิตจะดีขึ้นแล้วเลือกตน
ยังความกลัวให้เกิดขึ้นแล้วไม่เลือกตน แต่ไปเลือกคนอื่น
ยั่วให้เกลียดคนนั้นคนนี้ว่าเป็นพวกของคนไม่ดี
ทั้ง 3 ประการดังกล่าวเป็นยุทธวิธีทางการต่อสู้ หรือการสู้รบทางทหารที่เรียกว่า การทำสงครามจิตวิทยา นั่นเอง
เมื่อนำมาใช้ในการต่อสู้หาเสียงทางการเมือง ผู้ที่ได้ยินได้ฟังหรือได้เห็นจึงจำเป็นต้องใช้วิจารณญาณของตนในการรับฟังให้ดี ว่าเป็นไปได้จริงมากน้อยแค่ไหนในคำกล่าวหาเสียงนั้น
การเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคม 2562 นี้ จะเป็นการเลือกตั้งภายใต้กฎกติกาใหม่ รับบัตรใบเดียว กาเบอร์เดียว ได้ผลสามอย่าง คือ ได้ สส.เขต ได้ สส.บัญชีรายชื่อ ได้นายกรัฐมนตรี
สส.เขตมี 350 คน สส.บัญชีรายชื่อมี 150 คน รวมเป็น สส.ในสภาฯ 500 คน (จะมีบางคนเรียกว่า “สภา 500 หรือเปล่าก็ไม่รู้”)
เมื่อได้ สส.เขตแล้ว ก็จะนำคะแนนของผู้สมัครทุกคน ทุกเขต ของพรรคที่ส่ง สส.แบบบัญชีรายชื่อมาคำนวณ เพื่อหา สส.บัญชีรายชื่อของแต่ละพรรค
พรรคที่ได้ สส.ไม่น้อยกว่า 25 คน มีสิทธิ์เสนอชื่อบุคคลซึ่งสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็น นายกรัฐมนตรี
นี่คือหลักการสำคัญในการเลือกตั้งครั้งนี้
เป็นหลักการที่ไม่เหมือนการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านๆ มา เพราะเกิดจากการกำหนดขึ้นใหม่จาก “ลูกมือ” ของคณะที่ยึดอำนาจการบริหารประเทศครั้งนี้เป็นคนจัดการ
ที่สำคัญก็คือเรื่องการแต่งตั้ง สว. 250 คน ที่มาจากการแต่งตั้งของพวกยึดอำนาจครั้งนี้ ที่มีอำนาจหน้าที่ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ด้วย
เป็นประชาธิปไตยที่มีคราบเขม่าปืน
คนที่มาจากการเลือกตั้งครั้งนี้จะได้รับการคัดเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีหรือเปล่าก็ยังเป็นที่น่าสงสัยอยู่
และหลังการเลือกตั้งครั้งนี้แล้ว บ้านเมืองจะมีการบริหารปกครองกันอย่างมีเอกภาพและราบรื่นเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนได้จริง ไม่เกิดเรื่องวุ่นวาย ปั่นป่วน ขึ้นอีกหรือไม่นั้น ก็ต้องติดตามกันให้ดี เพราะประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอยเดิมของมันเสมอจากการเมืองการปกครองประชาธิปไตยที่พิสดาร ไม่ได้มาจากประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศอย่างแท้จริง
คนทั่วไปมักเข้าใจว่า การเลือกตั้งคือประชาธิปไตย แต่แท้จริงแล้วการเลือกตั้งเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่ง ซึ่งเป็นกิจกรรมขั้นต้นของกระบวนการทางประชาธิปไตยเท่านั้น เพราะยังมีความเกี่ยวเนื่องกันอีกมากมาย เช่น คุณสมบัติของนักการเมือง ที่อาสาเข้ามาทำงานทางการเมืองด้วยความเสียสละ มุ่งรักษาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง การได้รับการเลือกตั้งมาจากคะแนนเสียงที่บริสุทธิ์ ไม่ได้ซื้อเสียง หรือกระทำการทุจริตด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งในการเลือกตั้ง รวมถึงองค์ประกอบอื่นๆ เช่นการตรวจสอบโดยองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ
เพราะในการเลือกตั้งที่ผ่านๆมาแทบทุกครั้ง จะได้ยินได้ฟังกันมาตลอดว่ามีการซื้อเสียงจากประชาชน การเมืองที่มีการซื้อเสียงนั้น มีมากเท่าไร การทุจริตคดโกงจะมีตามมาอีกมากมายต่อไปจากการทำงานของนักการเมืองที่มีพฤติกรรมอย่างนี้
อุปสรรคสำคัญที่เป็นสาเหตุให้การพัฒนากระบวนการทางประชาธิปไตยในบ้านเราล้มเหลว ก็เนื่องมาจากการศึกษาของชาติที่ไม่สามารถพัฒนาคนในชาติให้มีหลักคิดและมีจิตสำนึกที่ถูกต้องในเรื่องต่างๆ เฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ส่งผลให้ประชาชนถูกครอบงำความคิดทางการเมืองอย่างผิดๆ ไม่ตระหนักถึงคุณค่าของคะแนนเสียงที่มีความสำคัญต่อชะตากรรมของบ้านเมือง
ขณะเดียวกันผู้ที่สมัครรับการเลือกตั้งหรือนักการเมืองหลายๆคน ก็ไม่ได้อาสาเข้ามาทำงานการเมืองด้วยความบริสุทธิ์ใจ และเสียสละ เพียงแต่มุ่งหวังที่จะมีอำนาจหน้าที่ในทางการเมือง หรือเพื่อใช้อำนาจหน้าที่ทางการเมืองที่ได้มานั้นเพื่อประโยชน์ตนและพรรคพวก
ส่วนพรรคการเมืองบางพรรคก็ไม่มีรากฐานมาจากประชาชนแค่มีกลุ่มทุนสามานย์บางกลุ่มสนับสนุน เพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจของตน เป็นพรรคการเมืองที่ไม่มีอุดมการณ์อะไรในการพัฒนาประเทศ
อุดมการณ์อันเป็นเป้าหมายสูงสุดอย่างแท้จริงของการได้อำนาจทางการเมืองไปใช้นั้นก็คือ ภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้น คือ ความสันติสุขของประชาชนทุกหมู่เหล่าในประเทศ ยึดมั่นในผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง
ประชาชนที่มีจิตสำนึกและมีหลักคิดที่ถูกต้อง จะเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนพัฒนาประเทศทางประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ให้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืนสืบไป
และจะเป็นคนที่แยกแยะออกว่า การหาเสียงหาคะแนนแบบ “สร้างความหวัง ยังความกลัว ยั่วให้เกลียด” ควรจะเลือกหรือให้คะแนนหรือไม่
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี