ท่านบรรณาธิการแจ้งว่า งดเรื่องการเมือง 1 วันนะครับ เพราะเป็นวันเลือกตั้ง ได้ครับ แต่ “บ้านเมือง” เป็นเรื่องที่เรา ชาว “แนวหน้า” ไม่เคยละทิ้ง ไม่เคยไม่ห่วง ดังนั้น มองบ้านเมืองย้อนกลับ และไปข้างหน้าในเวลาเดียวกัน ว่ามีอะไรให้คนไทยต้อง “ห่วง” และร่วมกันคิด ร่วมกันหาหนทางแก้ไข ก่อนจะล่มสลายหรือถูกโจมตีด้วยสิ่งเหล่านี้ จนไม่อาจอยู่รอด
1) ความขัดแย้งทางการเมืองที่ไม่รู้จบ = การเลือกตั้งครั้งนี้ ยืนยันว่า ทุกๆ ความขัดแย้งยังอยู่กับเราทุกคน เรายังเกลียดเพื่อนร่วมชาติที่ยืนอยู่คนละฝั่ง เรายังฝังใจกับความเชื่อที่ถูกบีบ
อัดลงไปในสมองของเราและสำแดงความเกลียดกลัวออกมา ผ่านการรณรงค์ให้เลือกหรือไม่เลือก โดยไม่สนใจ “นโยบาย” ซึ่งเป็นอนาคตที่แท้จริงของเรา เรายอมรับ “การเรียกค่าคุ้มครอง” ด้วยการโอน 1 คะแนนของเราให้แก่ความกลัว ความโกรธ ความเกลียด การเลือกตั้งทำท่าจะออกมาในรูปของการ “ระบายอารมณ์” มากกว่าสนับสนุนความถูกต้อง วิธีการที่ถูกต้อง และนโยบายที่ถูกต้อง
ความเกลียดชังยังเป็นประโยชน์ทางการเมือง มันจึงถูกหล่อเลี้ยงเอาไว้ มากกว่ามุ่งหน้าสลายมันอย่างเอาจริงเอาจัง ความรู้ ความจริง ยังไม่ถูกชำระสะสาง ต่างคนต่างกอดความเชื่อว่าจริงของตนเอาไว้แน่น ไม่แลกเปลี่ยน ไม่แบ่งปัน ไม่ฟังกัน ไม่เชื่อมึง!
การกระทำความผิด ไม่มีกระบวนการตรวจสอบ เอาผิด ที่เข้มแข็ง ฉับไว หนีออกได้แล้ว ก็ปล่อยไป ไอ้ที่ยังอยู่คดีก็เดินล่าช้า ปล่อยเป็นชนักปักคา แล้วมาหาประโยชน์เอาตอนจะเลือกตั้ง ด้วยการนั่งโยกชนักให้มันเจ็บกันเล่น แล้วมาเป็นพวกเรา ไม่งั้นโดน เป็นเพื่อนกันอยู่ดีๆ พอฉันจะเลือกคนนี้ เธอจะเลือกคนนั้น มิตรภาพขาดสะบั้น อยู่ร่วมกันอย่างคนประสาทเสีย อีกนานไหม ที่ความขัดแย้งจะไม่ถูกปลุก ถูกใช้ แล้วเรากล้าหาญที่จะเดินไปบนเส้นทางประชาธิปไตยที่สุจริต แข่งขันกันที่ความรู้ความสามารถและคณะบุคคลมืออาชีพอย่างแท้จริง ไม่เอาคนมาห้อยโหนสถาบันนั้นสถาบันนี้ แล้วต้องเลือกข้าวเลือกฝ่าย ทำสงครามกันผ่านการ “หย่อนบัตรลงคะแนน”
2) การศึกษาที่ล้าหลัง ตกโลก = อนาคตของคน อยู่ที่การ “ให้การศึกษา” และนั่นหมายถึง “อนาคตของประเทศ” ที่ต้องแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ในโลกที่นับวันจะเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น ใกล้กันมากขึ้น แย่งทรัพยากรและโอกาสกันมากขึ้น แต่ดูการศึกษาของเราสิ คนจบปริญญาตรี มีความรู้จำกัดจำเขี่ย ชนิดที่คนจ้างงานมึนงง ถึงกับต้องเริ่มเรียนกันใหม่ในที่ทำงาน เราเรียนกันนานแสนนาน กว่าคนคนหนึ่งซึ่งอยู่ในวัยฉกรรจ์ มีกำลังวังชาที่พร้อมจะทำงาน หาเงินเลี้ยงดูครอบครัว และต่อยอดอนาคตของตัวเอง กลับยังต้องหมกตัวอยู่กับการท่องจำ ทำความเข้าใจ เพื่อไปพิชิตข้อสอบ ที่หลายเรื่องไม่ใช่ “ทักษะ” เพื่อการ “ประกอบอาชีพ” เพื่อการ “ยังชีพ” และ “การครองชีวิต”
เราเน้นการเสนอเนื้อหา โดยไม่สอนทักษะ ทั้งทักษะการทำมาหากิน ทักษะการทำงาน ทักษะการดำเนินชีวิต ทักษะการเดินออกจากปัญหา ทักษะการยอมรับความพ่ายแพ้ ทักษะการสื่อสาร ทักษะการคิด ทักษะการใช้เทคโนโลยี ฯลฯ ผลลัพธ์คือ เราไม่มีคนที่มีทักษะเป็นเลิศ เรามีแต่ “เป็ด” ที่บินอย่างนกก็ไม่ได้ ว่ายน้ำอย่างปลาก็ไม่ถึงขั้นนั้น เหนือชั้นอย่างไก่ชนก็เปล่า ทำได้อย่างละนิดละหน่อย ไม่ใช่ “ตัวจริง” เป็นตัวสำรองของการแข่งขันในตลาดแรงงาน ที่ต้องรอการ “ปรับขึ้นค่าแรง” ทุก “วันแรงงานแห่งชาติ” แทนที่ค่าแรงจะขึ้นเร็วตามความสามารถ ความชำนาญ และผลงาน
เราสอนคนให้คิด วิเคราะห์ วิจารณ์ และวิจัย อย่างมีคุณภาพน้อยเกินไป เราจึงได้พลเมืองที่อ่านหนังสือน้อย เชื่อคนอื่น มากกว่าการไตร่ตรองแยกแยะด้วยตัวเอง
เราสอนให้คนเป็น “นักประดิษฐ์” น้อยมาก เป็นนักลอกเลียนที่เก่ง แต่ไม่เป็นผู้นำทางความคิดและการผลิต เราจึงเป็นประเทศนักบริโภค ค่าแรงน้อย แต่ค่าใช้จ่ายในการบริโภคสูงหัวสูง รสนิยมสูง แต่ความกระตือรือร้นที่จะพัฒนาชีวิตต่ำ รักสบาย รักการเดินตาม รักการรับคำสั่ง มากกว่ารักการ “นำ” ตามโลกไม่ทัน อยู่ท้ายแถวของประชาคมโลก ทั้งทักษะทางภาษา ทักษะคอมพิวเตอร์ ทักษะวิทยาศาสตร์ และทักษะวิชาชีพที่สำคัญอื่นๆ ซึ่งต้องเร่งแก้ไข และพร้อมจะลงทุนเพื่อการนี้
3) ความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองกับชนบท = เมือง-ไม่ได้ทำหน้าที่เป็น “หัวรถจักร” ที่ลากพาชนบทมาเติบโตด้วยกัน เมืองดึงดูดผู้คนและทรัพยากรออกจากชนบท เมืองได้รับการลงทุนเพื่อการพัฒนาก่อน ชนบทเป็นแค่ “แรงงาน” ของเมือง ที่ส่งลูกส่งหลาน ส่งคน มากระจุกตัวอยู่ในเมือง พลัดบ้าน พลัดครอบครัว อย่าหาโอกาส “ยังชีพ” ที่เอาเข้าจริง ไม่ได้มากพอที่จะพาตัวเองกลับสู่บ้านเรือนอันเป็นที่รักได้ในระยะเวลาอันสั้น บางคนใช้ทั้งชีวิตหากินในเมืองเพื่อผ่อนจ่ายไปกับ “ค่าครองชีพ” ของเมืองเกิดภาวะ “ติดเมือง” ติดความคึกคัก สะดวกสบายของเมือง จนไม่คิดย้อนกลับสู่ชนบท ที่ดินตกทอดถูกขาย บ้านถูกทิ้ง คนแก่ถูกปล่อยไว้ตามยถากรรม ดูแลจากระยะไกล เหมือนส่องแอพพลิเคชั่นดูแมวดูหมาที่รัก จากที่ทำงาน วันดีคืนดี ส่งลูกส่งหลานมาให้ปู่ย่าตายาย พ่อใหญ่แม่ใหญ่ ช่วยเลี้ยงอีกต่างหาก
ชนบทผลิตอาหารป้อนเมือง แต่กลับลืมตาอ้าปากได้ช้า เพราะเมืองส่ง “นายทุน” มาใช้ที่ดิน แรงงาน น้ำ อากาศ แสงแดด เพาะปลูก แล้วส่งกลับมาขายในเมือง ในราคาที่ดีกว่า เพราะมีเครือข่าย หน้าร้าน จุดตั้งวางสินค้า และระบบการบริหารจัดการที่ดีกว่า หรืออย่างเลวๆ ก็ส่ง “คนกลาง” ไปซื้อสินค้าเกษตรในราคาถูก แล้วเอามาขายในเมืองในราคาแพง ลูกชนบทในเมืองไม่มีเวลาปลูกพริกปลูกมะเขือ ทุกอย่างแลกด้วยเงิน ซื้อด้วยเงิน แกงถุง ข้าวเวฟ ทุกอย่างเพื่อ “อยู่รอดได้” ไม่ตายไปเสียก่อน คุณภาพชีวิต คุณภาพจิตใจย่ำแย่ เปิดช่องให้เกิดระบบการเมืองที่เรียกว่า “2 นคราประชาธิปไตย”
ความแร้นแค้น ยากจน ล้าหลัง ของชนบท ถูกใช้เป็นเครื่องมือแบ่งแยกทางการเมือง จงเกลียดพรรคนั้น จงเกลียดพวกนี้เลือกเราซี เราจะทำให้เจริญ อยู่ดีมีกิน นั่งเฉยๆ ยังโอนเงินมาให้เลย เอาไหมล่ะ ตามมาด้วยการยุยงให้เกลียดชังกันข้ามชนชั้น จนสังคมปริแตก แทบจะแยกแผ่นดินกันอยู่
4) ความแปรปรวนของสภาพอากาศ = ฤดูกาลที่ไม่เป็นฤดูกาล หน้าฝน-ฝนไม่ตก หรือตกก็ตกมากไป หน้าหนาวไม่ยอมหนาว ต้นไม้ดอกไม้งงไปหมด ไม่ให้ดอก ไม่ให้ผล อย่างที่เคยเป็นมา ไม่อยู่ในสภาพที่ “ภาคการเกษตร” จะปรับตัวได้เอง ความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับการจัดการเรือกสวนไร่นา ต้องมาให้มัน ต้องมาได้แล้ว ระบบการจัดการน้ำ เพื่อควบคุมการผลิตได้ โดยไม่ต้องขึ้นอยู่กับฝนฟ้าและเทวดา ต้องทำให้ทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ ต้องถูกลงทุน ก่อนที่ภาคการเกษตรจะล่มสลาย จะล้มละลาย หนี้สินล้นพ้นตัว
ความรู้สำคัญๆ เช่น การโซนนิ่งการเพาะปลูก เกษตรใช้น้ำน้อย สายพันธุ์พืชและสัตว์ใหม่ๆ ที่ทนต่อสภาพอากาศ ต้องได้รับการพัฒนาและนำมาสู่เรือกสวนไร่นา ปัญญาชนของชาติ ระบบราชการของชาติ ต้องเอาปัญญาและเทคโนโลยีมาโอบอุ้มภาคการเกษตร มายกระดับเกษตรกรให้เป็นไร่นาเทคโนโลยีและงานวิจัย ไม่ใช่ปล่อยไปตามยถากรรมอย่างทุกวันนี้
5) สารพิษและอากาศพิษ = คนกรุงอยากกินพืชผักปลอดสารพิษ อยากมีคุณภาพชีวิตที่ดี แต่เกษตรกรถูกกดราคา แปลงข้างๆ พ่นปุ๋ยพ่นยา ผักสวย ผลไม้สวย ราคาดี ไม่มีแมลงเจาะ ก็ไม่เห็นปฏิเสธ รุมซื้อกันยกใหญ่ ค่าแรงก็ขึ้นไม่ดูความเป็นไปได้ ว่าอัตราเดียวกันทั่วประเทศนั้น มันกระทบกับภาคการเกษตรขนาดไหน ยาฆ่าหญ้า ที่งานวิจัยบ่งบอกชัดเจนว่า “โคตรอันตราย” ก็ไม่ถูกยกเลิก ไม่ถูกห้ามนำเข้าหรือห้ามใช้ ด้วยเหตุผลว่ายังไม่มีอะไรทดแทน เดี๋ยวเกษตรกรเดือดร้อน สุดท้ายล้มหมอนนอนเสื้อเพราะสารพิษพวกนั้น แถมกระจายสารพิษสู่ดิน น้ำ อากาศและอาหาร เป็นการ “วางยา” ให้คนทั้งหมดตายผ่อนส่ง
เช่นเดียวกับอากาศพิษ ที่ยังควบคุมลำบาก เพราะวัฒนาธรรมการเผาของภาคการเกษตร ที่ “ทุ่นแรง” และ “ทำกันมานาน” พอๆ กับการเผาพลังงานที่ไม่สมบูรณ์ เมืองโทษชนบท ชนบทโกรธเมือง สุดท้ายได้แต่แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ให้คนซื้อหน้ากากสวมกันเอาเอง ทางการได้แต่ทำฝนหลวงให้ ฉีดพ่นละอองน้ำให้ แต่ในระยะยาว ปัญหานี้ควรได้รับการออกแบบ แก้ไข และใช้กฎหมายที่จำเป็นเข้ามาจัดการอย่างเข้มงวด แต่ไม่ทอดทิ้งมิติของการ “อยู่ได้” ของทุกๆ ฝ่ายด้วย ถามว่ายากไหม ยาก แต่ต้องทำไหม ต้องทำครับ และต้องทำทันทีด้วย
6) จรรยาบรรณสื่อ = สื่อเป็นชนวนหนึ่งของความแตกแยกในสังคม สื่อมุ่งขายพาดหัวข่าวหวือหวา บางครั้งเกินกว่าเนื้อหาที่มีบางทีไม่ทันตรวจสอบก็นำมาเสนอ บางครั้งทั้งๆ ที่รู้ว่าคนคนนั้นพูดโกหก หรือเป็นคลิปตัดต่อ ก็ยังเอามานำเสนอ เพื่อหวังผลบางอย่างนำมาซึ่งศรัทธาที่เสื่อมถอยของสังคม และควาแตกร้าวของสังคมที่ปกติก็อ่านน้อยอยู่แล้ว คิดน้อยอยู่แล้ว รู้สึกและวิจารณ์ไว ร้อนแรงดั่งไฟแลบ
สื่อไม่ค่อยลำเลียงความรู้สู่การรับรู้ของผู้คน ผลักภาระให้คนดู คนอ่าน คนฟัง ใช้ “วิจารณญาณ” เอาเอง ชอบเอาการทะเลาะ โต้แย้ง ขัดแย้ง มาเป็นสินค้า โดยไม่สนใจว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อสังคมมีอะไรบ้าง
สื่อมีต้นทุนที่สูง ทำให้เน้นการหาทางอยู่รอดของตัวเองก่อน เน้นละคนตบตีกรีดร้อง เน้นความรุนแรง เน้นข่าวแซบ เน้นเอาคนมาทะเลาะกันให้คนดู จนกลายเป็นความเคยชินของสังคม ที่พร้อมจะด่าทอกัน ถกเถียงกัน ตบตีกัน เพราะมันเป็นเรื่องธรรมดา เห็นอยู่ทุกวันในสื่อ
แต่ก็โทษสื่อฝ่ายเดียวไม่ได้ เพราะคลิปรุนแรง คลิปทะเลาะเบาะแว้ง คลิปตบตี หรือข่าวจำพวกนี้ มีคนชอบคนแชร์ คนเม้นต์ คนไลค์ มากมายก่ายกองจริงๆ เราจึงต้องเคลื่อนไปด้วยกันในทางเป็นสื่อคุณภาพ ให้ความรู้ ให้สติ ให้การคิด วิเคราะห์ แยกแยะ นอกเหนือจากให้ความเพลิดเพลิน โดยเฉพาะสื่อออนไลน์ ที่ทุกคนล้วนเป็นสื่อ ส่วนนี้เข้ามาทำลายจรรยาบรรณของการสื่อสารมากที่สุด เพราะเป็นปัจเจกบุคคล ที่ไม่มีสถาบันหรือองค์กรรองรับ จึงมักขาดสำนึกความรับผิดชอบแบบที่สื่อมวลชนจริงๆ ต้องมี
7) สังคมสูงวัย = น้อยคนนักที่จะพูดให้ชัดว่า สังคมสูงวัยนี้คือ “ภัยคุกคาม” ที่น่ากลัวมาก ทั้งระดับตัวบุคคล ครัวเรือน และประเทศชาติ คนแก่จะเต็มบ้านเต็มเมือง รายได้รวมของประเทศจะลดลง คนวัยทำงานจะเต็มไปด้วยความเครียด เพราะต้องแบกรับผู้สูงอายุในครอบครัวและการรีดภาษีจากรัฐ เพื่อนำไปจัดเป็นสวัสดิการด้านการแพทย์และสาธารณสุข แพทย์ พยาบาล เภสัชกร และเจ้าหน้าที่ด้านสุขภาพและสาธารณสุขจะมีความเครียดและความเสี่ยงสูงมาก เนื่องจากภาระมาก และความคาดหวังจากคนไข้และครอบครัวมีสูง
ในภาวะที่คน “จนยันแก่” จะแก้ไขกันอย่างไร จะเตรียมการในวันที่เขายังไม่แก่ ยังดูแลตัวเองได้อย่างไร ระบบภาษี ระบบการออม ระบบประกันต่างๆ ทั้งๆ ควรจะผนึกผสานกำลังกัน เรียนรู้จากประเทศที่ประสบปัญหานี้แล้ว เช่น ญี่ปุ่น และยุโรป แล้วสร้างความตระหนักให้คนในชาติ ดูแลสุขภาพ วางแผนชีวิต วางแผนการออม และมีที่อยู่ที่กินในยามแก่เฒ่าไว้ล่วงหน้า ก่อนที่จะต้องออกมานอนเรียงรายกันริมถนนเหมือนแมวเหมียวไร้บ้าน ไร้คนดูแล
8) ความเป็นปัจเจกชนที่นับวันจะสูงขึ้น = คนรุ่นใหม่นับวันจะ “อินดี้” คือเป็นตัวของตัวเอง หมกมุ่นกับตัวเอง รับฟังแต่ตัวเอง และยึดเอาตนเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาลมากขึ้น อย่าปล่อยลูกไว้กับโทรทัศน์และโทรศัพท์ จงให้เขามีพ่อมีแม่ ที่จะพูดคุยกันได้อย่างครอบครัวมนุษย์ ไม่ใช่โรบอท คุยกับลูกให้เก่งเท่ากับคุยไลน์กับเพื่อน ถามสารทุกข์สุกดิบ อบรมขัดเกลาให้เขาน่ารัก เข้ากับคนอื่นได้ สื่อสารเป็น และรักการมี “ครอบครัว” มากกว่าอยากอยู่ตัวคนเดียว ไม่อยากแบ่งปันอะไรกับใคร ฉันเท่านั้นที่สำคัญ ปล่อยไปอย่างนั้นไม่ได้ เพราะโตขึ้นเขาจะไม่แคร์ใคร บางทีกับพ่อกับแม่เขายังไม่แคร์เลย ดูบรรยากาศการเลือกตั้งรอบนี้ก็ได้ คนรุ่นใหม่จิกด่าคนรุ่นเก่า คนรุ่นเก่าก็ทะเลาะกับคนรุ่นใหม่ ด้วยการมองโลกคนละมุม คิดกันคนละแบบ โดย “ขาดกัน” ในการต่อเชื่อมประสบการณ์และค่านิยมบางอย่าง เพราะโตมากันคนละระบบ สงครามระหว่างรุ่นและความเป็นอินดี้ จะไปปะทุหนักในยุคที่ประเทศไทยเป็น “สังคมสูงวัย”เต็มรูปแบบ เด็กรุ่นใหม่อินดี้จะก้าวร้าว ไร้มารยาท ขาดสามัญสำนึก และเครียดง่าย พร้อมจะทำอะไรร้ายๆ ได้อย่างน่ากลัว
9) ความเครียด = คนเครียดมากขึ้น เครียดจากข่าวสาร เครียดจากปัญหาค่าครองชีพ เครียดกับความขัดแย้งในสังคม เครียดจากการทำงานหนักแต่ไม่รวยสักที เครียดกับสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี เครียดกับการไม่มีคนดูแล ไม่มีศาสนา ไม่มีสิ่งปลอบประโลม โรคทางจิตใจคุกคามคนยุคนี้มากกว่าเมื่อก่อน มันไม่ใช่แค่ความผิดปกติของสารเคมีในสมอง แต่เป็นภาวะเหงา เดียวดาย ใช้ชีวิตยาก ชีวิตไม่สมปรารถนา ไม่ได้ดั่งใจ พร้อมที่จะฆ่าตัวตาย เพราะ “ตายง่ายกว่าอยู่”เป็นจำนวนมาก ทักษะการคลี่คลายอารมณ์และวัฒนธรรมการพบจิตแพทย์จึงควรได้รับการปลูกสร้างให้มากขึ้น
10) โรคเรื้อรัง = คนได้รับโภชนาการไม่ดี ขี้เกียจ เครียด จมอยู่กับหน้าจอ นั่งนิ่ง นอนนิ่ง ไม่ค่อยออกกำลังกาย กินอาหารแช่แข็ง เต็มไปด้วยเกลือ น้ำตาล ไขมัน และสารปรุงแต่งต่างๆ ทำให้เกิดโรคเรื้อรังเช่น อ้วน ไขมัน เบาหวาน หลอดเลือดตีบ ฯลฯ ตามมามากมาย ซึ่งต้องให้ความรู้ และใช้กฎหมายเข้าควบคุมอาหารขยะ อาหารหวาน อาหารเค็ม อาหารไขมันสูงให้มีประสิทธิภาพด้วย
10 ข้อนี้ เอาไปช่วยกันคิดครับ
บ่นไปทำไมมี หาวิธีเปลี่ยนมันให้ดีกว่าเดิมจะดีกว่า
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี