หนึ่งในนโยบายสำคัญที่นอกเหนือจากเรื่องเศรษฐกิจกับปากท้องของคนในสังคมแล้วคือนโยบายสาธารณสุขที่หลายพรรคการเมืองไม่ว่าจะเป็นพลังประชารัฐ,เพื่อไทย, อนาคตใหม่, ภูมิใจไทย หรือประชาธิปัตย์ ได้หยิบยกชูขึ้นเป็นจุดขายให้โดนใจผู้คนในช่วงการเลือกตั้งที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มสิทธิการรักษาตามระบบสุขภาพ อุดหนุนงบประมาณสำหรับผู้สูงวัยสตรีมีครรภ์และทารกแรกเกิด ซึ่งก็ดูแล้วก็ไม่ได้มีความแตกต่างหรือแปลกใหม่ ส่วนใหญ่ก็ลดแลกแจกแถมจึงชวนให้คิดต่อไปว่ามาตรการเหล่านี้จะเพียงพอหรือไม่ หากเราต้องการเห็นคนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีมีสุขภาพกายและใจแข็งแรงขึ้น
ตัวอย่างหนึ่งของนโยบายสุขภาพที่ต้องให้รัฐบาลใหม่ได้ทบทวนคือ โครงการ “3 ล้าน 3 ปี เลิกบุหรี่ทั่วไทย เทิดไท้องค์ราชัน” ที่กระทรวงสาธารณสุขเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2559 เชิญชวนให้ผู้สูบบุหรี่เข้าร่วมโครงการฯ เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลด ละ เลิกบุหรี่ โดยให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านเป็นคนขับเคลื่อนโครงการให้ก้าวไปข้างหน้า
ต้นเดือนมีนาคม 2562 ที่ผ่านมา นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ออกมาให้ข้อมูลว่า โครงการจะสิ้นสุดในเดือนพฤษภาคม 2562 นี้แล้ว และมีผู้สมัครใจเข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 2.28 ล้านคนหรือคิดเป็นร้อยละ 76.19 ซึ่งดูเหมือนจะประสบความสำเร็จ แต่ที่น่าตกใจคือมีเพียง 9 หมื่นกว่าคนหรือร้อยละ 4 เท่านั้น ที่เลิกบุหรี่ได้ต่อเนื่อง 6 เดือนขึ้นไป และยังไม่แน่ใจว่าในร้อยละ 4 นี้จะกลับไปสูบบุหรี่อีกหรือไม่ในปัจจุบัน
ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี 2560 ระบุว่าผู้สูบบุหรี่ อายุ 15 ปี ขึ้นไป มีจำนวน 10.7 ล้านคนหรือร้อยละ 19.1 ของประชากรและอัตราการสูบบุหรี่มีแนวโน้มลดลงหากมองย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2547ประเทศไทยมีอัตราการสูบบุหรี่ขึ้นๆลงๆ มาตลอด ก่อนจะค่อยๆ ลดลงอย่างช้าๆ จากร้อยละ 20.7 ในปี 2557เหลือร้อยละ 19.9 ในปี 2558 และร้อยละ 19.1 ในปี 2560 ตามลำดับในจำนวนนี้ระบุว่าร้อยละ 3.7 เท่านั้นที่เลิกได้โดย อสม.หรือบุคคลใกล้ชิดชักชวนให้เลิก และมีเพียงร้อยละ 0.2เท่านั้นที่ใช้บริการสายด่วนเลิกบุหรี่
เป้าหมายการลดอัตราการสูบบุหรี่ของประเทศไทยที่รับมาจากองค์การอนามัยโลกคือ ภายในปี 2568 จะต้องลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ลงให้เหลือแค่ 9 ล้านคน ซึ่งเท่ากับว่าต้องลดลงให้ได้อีกจำนวน 1.7 ล้านคน ภายใน 6 ปี แต่ดูจากแนวโน้มการลดลงที่ช้าๆ แบบนี้แล้ว เราต้องใช้เวลาถึง 51 ปี ถึงจะสามารถลดผู้สูบบุหรี่ได้ตามเป้าหมาย น่าเสียดายที่โครงการดีๆ แบบนี้ไม่ช่วยให้นักสูบเลิกบุหรี่ได้มากเท่าที่ตั้งใจไว้ คงต้องตั้งคำถามกันตรงนี้ว่าการรณรงค์เลิกสูบบุหรี่ที่เน้นการเปลี่ยนพฤติกรรมออกกำลังกาย หักดิบ ควบคู่ไปกับการประชาสัมพันธ์อันตรายของบุหรี่ เพียงพอหรือยังที่จะช่วยเร่งอัตราการลดลงของจำนวนผู้สูบบุหรี่ได้ หรือเราคงต้องมองหาแนวทางใหม่ๆ ที่จะมาลดอันตรายจากพิษภัยของบุหรี่ให้กับคนในสังคม
ปัจจุบันรัฐบาลของประเทศพัฒนาทั่วโลกได้ยอมรับและสนับสนุนให้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นทางเลือกแทนการสูบบุหรี่ เช่น อังกฤษชูแผนยุทธศาสตร์การควบคุมยาสูบของกระทรวงสาธารณสุขจนสร้างสถิติใหม่ในการลดอัตราการสูบบุหรี่จากร้อยละ 20.2 ในปี 2553 เหลือเพียงร้อยละ 15.5 ในปี 2560หรือนิวซีแลนด์ได้ประกาศเป็นประเทศปลอดควันภายในปี 2568 ตั้งเป้าลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ประจำให้เหลือน้อยกว่าร้อยละ 5 โดยมองหาแนวทางใหม่ๆ มาเสริมมาตรการเลิกบุหรี่แบบดั้งเดิมได้แก่การส่งเสริมให้ผู้สูบบุหรี่เปลี่ยนไปใช้บุหรี่ไฟฟ้าแทนบุหรี่ซิกาแรต
แต่ในประเทศไทย ยังคงติดขัดที่ประกาศกระทรวงพาณิชย์ที่ระบุให้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าผิดกฎหมาย และกระทรวงสาธารณสุขเองยังไม่ยอมรับงานวิจัยและแนวทางของต่างประเทศทำให้เป้าหมายการลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ของไทยยังไม่บรรลุเป้าหมาย และคนไทยยังคงต้องเจ็บป่วยและเสียชีวิตจากการสูบบุหรี่ต่อถึงตอนนี้เรายังไม่อาจคาดเดาได้ว่าใครจะมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงพาณิชย์ที่คุมนโยบายของกระทรวงทั้ง 2 แห่งและสังคมก็คาดหวังจะได้เห็นแนวทางใหม่ๆ ในการจัดการกับปัญหาการสูบบุหรี่ของคนไทยที่ถือเป็นปัญหาที่เร่งด่วนพอสมควรรวมถึงปัญหาเกษตรกรที่ปลูกยาสูบที่ขายผลผลิตไม่ได้เพราะบุหรี่ราคาสูงจนผู้บริโภคหนีไปซื้อบุหรี่หนีภาษีจากประเทศเพื่อนบ้านและยาเส้นมวนเองแทน
ครั้งหนึ่งเราถูกทำให้เชื่อว่ากัญชาเป็นสารเสพติด แต่วันนี้กลับมาเป็นยารักษาโรคได้แล้วถึงเวลาสังคมไทยต้องเปิดกว้างและถกเถียงเรื่องนี้อย่างจริงจังมากกว่าการผูกขาดข้อมูลผิดๆ และความเห็นแต่ฝ่ายเดียว เพราะทุกวันยังมีคนต้องเสียชีวิตจากการสูบบุหรี่วันละ141 คน ในเมื่อขณะนี้ไม่อาจเห็นแนวทางแก้ไขปัญหาจากรัฐบาลขณะนี้ได้ประชาชนชาวไทยก็ต้องฝากความหวังไว้กับรัฐบาลใหม่ในเดือนพฤษภาคม 2562 ที่จะเกิดขึ้นภายใน 2 เดือนข้างหน้านี้
ทีมข่าวการเมือง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี