กลายเป็น “เป้า” ทางการเมือง ที่ทุกฝ่ายรุมทึ้ง รุมถล่มอยู่ในเวลานี้ ไม่เว้นแม้แต่คนในพรรคก็ขัดแย้งกัน เพราะมันเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญทางการเมืองที่ต้องการ “คำตอบ” จาก “ท่าที” ของพรรคประชาธิปัตย์ ว่าจะ “วางตำแหน่งแห่งหนทางการเมือง” ของตนอย่างไร ในช่วงเวลาที่ “การจัดตั้งรัฐบาล” ต้องการ “จำนวนชี้ขาด”พูดกันตรงๆ คือ การเรียกหาคำตอบจากพรรคประชาธิปัตย์เวลานี้ ไม่ได้ให้ความสำคัญหรือ “เห็นคุณค่า” ในฐานะ “สถาบันทางการเมือง” ที่ดำรงอยู่มายาวนานถึง 72 ปี ซึ่งเป็นเรื่องน่าเศร้า และเศร้ากว่าคือ คนในพรรคเองก็ละล้าละลังกับ “โอกาสสุดท้าย” (ในความคิดของเขา) กับ “โอกาสที่จะยืนหยัดและยืนยัน” ว่า “หลักการ-อุดมการณ์” คือเครื่องค้ำจุนบ้านเมืองและการเมืองไทย
จะเข้าใจ “ความยากในการตัดสินใจ” ของพรรคประชาธิปัตย์ได้ ต้องเข้าใจ “ภาพรวมการเมืองไทย” ในเวลานี้ให้ชัดเสียก่อน มาไล่เลียงลำดับกันดูดังนี้ครับ
1) การเมืองไทยดำรงอยู่บน “ความขัดแย้ง” มานานนับ 10 ปีแล้ว และความขัดแย้งถูกใช้หนักหน่วงที่สุดในการเลือกตั้งครั้งนี้ ถึงขั้นใช้เงื่อนไข “ความเสี่ยงของประเทศ” เป็นเดิมพันในการเรียกคนมา “ลงคะแนน”
พวกหนึ่งใช้ความเสี่ยงที่ประเทศจะถูกยึดครองโดย “เผด็จการทหาร” โดยงดเว้นการพูดถึง “เผด็จการประชาธิปไตย” กับ “ประชาธิปไตยทุจริต” ที่เป็นพฤติกรรมในอดีตที่กระทบต่อ “ความดี-ความชั่ว” ของฝ่ายตัวเอง
พวกหนึ่งใช้ “ชาติ ศาสน์ กษัตริย์” เป็นสิ่งที่รักที่เทิดทูน ที่ต้องปกป้องจากฝ่ายชั่ว ถึงชนิดที่โค้งสุดท้ายของการหาเสียง ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และแนวร่วมอย่างนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และสื่อสมทบอย่างเครือทีนิวส์และเนชั่น อัดประเด็น “สถาบัน” ที่ถูกสั่นคลอนหนักหน่วงมาก จากฝ่ายที่เคยใช้วาทกรรม “ไพร่-อำมาตย์” เดิมในการปลุกเร้ามวลชน และฝ่ายอนาคตใหม่ ที่เกี่ยวเนื่องกับการสนับสนุนหนังสือ “ฟ้าเดียวกัน” ที่เนื้อหานั้น มุ่งเน้นเรื่องสถาบันเป็นหลัก แต่ไม่ใช่ในทางสรรเสริญ และพฤติกรรมทางวิชาการของเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ที่วิพากษ์กฎหมาย ม.112 เอาไว้ในหลายวาระ
การใช้ “สถาบัน” เป็นเงื่อนไขทางการเมือง เป็นเรื่องที่ “น่ากลัวและสุ่มเสี่ยง” มาก เพราะเราวางหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขว่า “สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมือง” ระเบียบ กกต. ก็ห้ามหาเสียงโดยใช้สถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามีการใช้สัญลักษณ์ ท่าที หรือบรรยากาศที่บ่งชี้ ให้สถาบันเป็นปัจจัยหนึ่งที่ต้อง “เลือกข้าง-เลือกฝ่าย”
2) แรกทีเดียว ฝ่ายพรรคเพื่อไทยและเครือข่ายเปิดเกมก่อน ให้คนต้องเลือกว่า จะอยู่กับฝ่ายเผด็จการหรือฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งในเวลานั้น ก็ผลักพรรคประชาธิปัตย์ไปอยู่ฝ่ายทหารเช่นเดียวกัน เพื่อสานต่อวาทกรรมและภาพจำเดิมๆ ที่โจมตีพรรคประชาธิปัตย์ไว้ได้สำเร็จคือ “ตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร” และเกี่ยวพันกับม็อบ กปปส. เพื่อเรียกทหารออกมายึดอำนาจ เกมจึงถูกกำหนดให้ “เลือกข้าง” มากกว่า “เลือกผู้แทน” ไปแก้ปัญหา เพราะหากกำหนดเกมให้เลือกผู้แทน ก็ต้องแข่งกันที่ “ตัวคน” กับ “นโยบาย” ซึ่งฝ่ายพรรคเพื่อไทยจะมีปัญหา เพราะตัวคนที่เหลือรอด
จากคุกและคดีความต่างๆ ตลอดจนการดูดของพรรคพลังประชารัฐนั้น เป็นระดับ “แถวสองแถวสาม” ไม่ได้โดดเด่น แม้กระทั่งคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เอง ก็ไม่ใช่ผู้นำ (Leader) แถวหน้า จึงจะเห็นได้ว่า หาเสียงสักระยะหนึ่ง ต้องดึงเอานายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ มาช่วยเรียกกระแส ส่วนนโยบาย ก็มี “แผลเน่า” ที่ยังรักษาไม่หายติดตัวอยู่ คือ โครงการรับจำนำข้าว ที่ล้มเหลวทั้งทางตัวเงินงบประมาณที่ใช้ การทำลายตลาด และการทุจริตของผู้ที่เกี่ยวข้อง
เมื่อขาย “ตัวคน” กับ “นโยบาย” ไม่ได้ ก็ต้องหาจุดขายอื่น ดีที่สุดคือ “ความขัดแย้งเดิมๆ” อันเป็นประสบการณ์จากการถูกรัฐประหารในยุคทักษิณ คือ นิยามผูกขาดให้ฝ่ายตัวเองเท่านั้นที่เป็น “ประชาธิปไตย” และอีกฝ่ายเป็น “เผด็จการสืบทอดอำนาจ” เอาเปรียบจากการเขียนกฎหมายนำทางให้ตัวเองได้เปรียบในการเลือกตั้ง มีข้าราชการ อำนาจรัฐ และงบประมาณแผ่นดิน เป็นกระสุนดินดำ หรือเครื่องมือในการเอาชนะทางการเมือง จนถึงขั้นต้องใช้วิธี “แตกแบงก์พันเป็นแบงก์ร้อย” ด้วยข้ออ้างว่า “รัฐธรรมนูญบังคับให้เราต้องทำอย่างนี้”
3) แม้พยายามจะให้ “ทักษิณ ชินวัตร” อยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ ไม่ให้แสดงตัวเป็นผู้กำหนดทิศทางพรรคเพื่อไทยมากนัก เพราะสุ่มเสี่ยงต่อกฎหมายใหม่ที่โทษถึงขั้นยุบพรรค แต่การหนีบ “พานทองแท้ ชินวัตร” ลงหาเสียงภาคอีสาน ก็ไม่ต่างจากการนำ “โลโก้ชินวัตร” ไปยืนยันกับชาวบ้านนั่นแหละ เพราะคะแนนนิยมในตัวทักษิณยังมีอิทธิพลต่อผู้เลือกในบางพื้นที่ นอกจากนี้ เรื่องเผด็จการหรือประชาธิปไตยไม่ได้มีผลกับชาวบ้าน ดังนั้นการโจมตีเรื่อง “อยู่กับเรากระเป๋าตุง อยู่กับลุงกระเป๋าแบน” ก็ถูกใช้คู่กันไป มีผลไหม มีผลครับ มีผลให้เงินไหลเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐคล่องแคล่วขึ้นในบัดดล ไม่รวมถึงเงิน อสม. เบี้ยคนชรา การแจกเอกสารสิทธิ และการตรวจเยี่ยมราชการของรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีถี่ยิบ ชนิดที่ 5 ปีที่เป็นรัฐบาลมา ไม่เคยถี่อย่างนี้มาก่อน
4) สั่นคลอนหนักหน่วงที่สุด คือการ “หงายไพ่” ชื่อว่าที่นายกฯ ของพรรคไทยรักษาชาติในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ วันนั้นเองที่เงื่อนไข ระหว่าง “สถาบัน” กับ “ผู้เป็นภัย” กลายเป็น “โจทย์ของการเลือกตั้ง” ครั้งนี้ทันที เพราะไม่มีใครเชื่อว่า ลำพังหัวหน้าพรรคกับเด็กๆ กรรมการบริหารพรรคไทยรักษาชาติจะสามารถ “ดีล” จนได้ชื่อดังกล่าวมาเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค
5) ประจักษ์ ก้องกีรติ นักวิชาการค่ายธรรมศาสตร์ วิเคราะห์กับบีบีซีไทยว่า เป็น “สมาร์ทเกมส์” แต่ก็เป็น “แดนเจอรัสเกมส์” ของทักษิณ ซึ่งสุดท้ายพรรคไทยรักษาชาติถูกยุบ และ พล.อ.ประยุทธ์ กลายเป็น “สัญลักษณ์” ของ “ผู้ถูกเลือก”
6) ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เล่นกับกระแสการถูกยุบของไทยรักษาชาติทันที ทั้งแถลงการณ์ของพรรคที่ออกมาทันควันหลังศาลสั่งยุบไทยรักษาชาติ ที่ถูกตั้งข้อสังเกต
ว่า พูดถึงแต่ “การปกครองในระบอบประชาธิปไตย” ที่ไม่มีคำว่า “อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ตลอดทั้งแถลงการณ์นั้น ตามติดมาด้วยการพบปะนักศึกษา และขายนโยบายว่า “ภารกิจ 2475 ยังไม่จบ”
7) ในบรรยากาศที่ประชาชนและเยาวชน “ผู้เลือกหน้าใหม่” ถูกชี้นำ ถูก “บังคับให้เลือก” ด้วยความเกลียด ความกลัว ความโกรธ อยู่กลายๆ เช่นนั้น มีหรือที่จะรอดสายตาของนักการเมืองที่เห็นการเมืองมา 27 ปี อย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไร หรือมีเหตุผลอย่างไร
ในการประกาศ “ไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เอาฝ่ายบกพร่องโดยสุจริตและทุจริตเชิงนโยบาย” ก็กลายเป็นสายฟ้าที่ฟาดลงมาในสนามเลือกตั้งที่กำลังเล่นเกม “เลือกแค่ 2 ข้าง” ก็พอ
8) คนตีความไม่ออก ว่าอภิสิทธิ์เสนอ “ทางเลือกที่ 3” เพื่อพาคนออกจาก “การเผชิญหน้า” ที่สุ่มเสี่ยง แต่กลับไปตีความว่า “โง่ เซ่อ บ้า หลงตัวเอง” ชั่วโมงนี้แกเอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ สะเออะมาเสนอตัวเป็นทางเลือกที่ 3 เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล เป็นนายกรัฐมนตรี ในเกมแห่งการกดดันให้คนเลือกเพราะโกรธ กลัว เกลียด หรือเบื่อโลกใบเก่า มาเอาโลกใบใหม่ด้วยกัน “ทางเลือกที่ 3” ที่อภิสิทธิ์เสนอ กลายเป็นทางตันของประชาธิปัตย์เอง ชัดเจนว่าคนไม่ต้องการเดินออกจากความขัดแย้งหรือการเผชิญหน้า แต่ดูเหมือนว่าต้องการ “แตกหัก” จึงไม่เลือกนโยบายที่แข็งแรงและดีมากของพรรคประชาธิปัตย์ ผสมโรงด้วยระบบบัตรใบเดียวและการเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม ไม่ได้ทำให้คนสนใจตัวคนตัวนโยบาย แต่เป็นการ “ประกวดนายกฯ” คนจึงไม่ได้มองว่า “สงครามการเมือง” ยกนี้ อภิสิทธิ์คือนักรบของเขา ต้องเลือกเอา ว่าจะเป็น “ลุงตู่” หรือศัตรูของชาติ แคมเปญ “เลือกความสงบจบที่ลุงตู่” จึงเกิดในโค้งสุดท้ายจากฝ่ายพลังประชารัฐ และอัดอภิสิทธิ์ชนิดไม่เกรงใจข้อเท็จจริงของสุเทพ เทือกสุบรรณ กะว่า “กลบฝังอภิสิทธิ์” ให้มิดที่สุด เพื่อยักย้ายคะแนนของประชาธิปัตย์ ที่เดิมคิดว่าจะเป็น “แนวร่วมหนุนลุงตู่” ด้วยกัน ไปเป็นของตน พร้อมๆ กับการบดบี้เสียงของประชาธิปัตย์ในต่างจังหวัด ผลลัพธ์จึงทำให้ กทม. ประชาธิปัตย์ตายสนิท และต่างจังหวัดก็รอดมาได้ด้วย “คนจริง-ของจริง” จากพื้นที่โดยแท้
9) ผมตีความตามประสาผมเองว่า เกมทั้งหมดถูกกำหนดโดย “ทักษิณ” ซึ่งไม่ได้แปลว่านายทักษิณเป็นผู้กำหนด แต่คำว่าทักษิณนั้น มีความหลอกหลอน “สยองขวัญ” ต่อการเลือกครั้งนี้ จนไม่เหลือปรัชญาของการ “เลือกผู้แทน” ที่แท้จริงหลงเหลืออยู่เลย เชื่อว่าวันนี้ หลายคนในหลายพื้นที่จำชื่อผู้แทนที่ชนะการเลือกตั้งของตนไม่ได้ด้วยซ้ำไป เพราะมันไม่ใช่การเลือกคน แต่เป็นการ “เลือกข้าง”
10) 8 กุมภาพันธ์ คือสัญญาณของการเลือก เมื่อฝ่ายทักษิณ “ทิ้งไพ่” ใบหนึ่ง เพื่อ “เรียกไพ่” อีกใบหนึ่งให้หงายออก ปฏิบัติการนี้จบเกมของทักษิณ ที่จะ “พลิกฟ้าท้าทายแผ่นดิน” แล้วคะแนนปลิ้นมาอยู่กับ“อนาคตใหม่” อย่างไม่มีใครคาดคิด เปิดเกมใหม่ให้ธนาธรทวีตว่า “คะแนนของคนเลือกอนาคตใหม่ คือคะแนนของการต้องการความเปลี่ยนแปลง”
11) สัญญาณของการ “บีบให้คนชี้ขาด” ยังส่งผ่านท่าทีของกองทัพ ที่ออกถี่ๆ ท่าทีของบิ๊กตู่ ที่อยู่ๆ รายการศาสตร์พระราชาคืนวันศุกร์ก็กลายเป็นตอน “เพลงของพ่อ” โดยที่บ่ายๆ ของอีกวัน ก็โพสต์ภาพ “อ่านหนังสือ” ซึ่งลองไปขยายดู “หนังสือเล่มนั้น” กันดูนะครับ ก่อนที่กลางดึกของคืนก่อนเลือกตั้ง โทรทัศน์ประเทศไทยก็มีรายการพิเศษช่วงสั้นๆ ออกมา
12) ด้วยองค์ประกอบเหล่านี้ จะเห็นได้ว่า การเลือกตั้งรอบนี้ ไม่ได้พูดกันที่ “ตัวคน-นโยบาย” แต่ตัดสินกันที่ “ท่าที-ฟากฝ่าย-สัญลักษณ์” ความปรารถนาของนายอภิสิทธิ์ ที่จะพาคนออกจากการเผชิญหน้าและขัดแย้ง ไม่ว่าจะไปทางซ้ายหรือทางขวา ล้วนหนีไม่พ้น “การเผชิญหน้า” กัน จึง “ไม่ถูกเลือก” ในเกมนี้ ส่งผลให้อภิสิทธิ์ประกาศ “ลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์” ทันที เพื่อยืนยันว่า นักการเมืองที่ดีต้องมี “สัจจะ” นี่คือ “ประชาธิปไตยสุจริต”
13) ประชาธิปัตย์จมอยู่กับเสียง “สมน้ำหน้า” จาก “คนชัง” ที่หวังให้ช่วยหนุนลุงตู่ และ “กำลังใจ” จากคนรัก ที่ชื่นชมในการยืนหยัด “อุดมการณ์” คนสองฝั่งนั้น ยังไปไม่ถึง “หัวใจของท่าที” ของประชาธิปัตย์ครั้งนี้ทั้งสิ้น นั่นคือ “เอาคนออกจากความขัดแย้ง ก่อนที่บ้านเมืองจะวิกฤติไปยิ่งกว่านี้” มาจนวันนี้ “ความขัดแย้งที่ว่า” ยังตามมากดดันประชาธิปัตย์ว่าจะเอายังไงจะมาช่วยฝ่ายลุงตู่ ซึ่งเท่ากับช่วยชาติ หรือจะกอดอุดมการณ์จนตาย แถมเป็นฝ่ายไม่เอาลุงตู่ในทางอ้อมอีกด้วย อย่างนี้ไปโหวตช่วยสุดารัตน์เสียเลยไหมล่ะ
14) ก้าวต่อไปของบ้านเมืองคืออะไร ในเมื่อการเลือกตั้งครั้งนี้ ทุกองคาพยพถูกลากลงมากองเป็น “เดิมพัน” ของการต่อสู้กันเสียหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกฎหมาย (เขียนเพื่อจะชนะ-ตามที่ถูกกล่าวหา) ไม่ว่าจริงหรือเท็จ นั่นทำให้กฎหมายหมดความน่าเชื่อถือ องค์กรอิสระต้องสงสัย (เช่น กกต. ที่เริ่มจะหมดความน่าเชื่อถือ) กองทัพ (ที่แสดงตนอยู่ตลอดเวลา) สถาบัน (ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ ถูกอ้างถึง ถูกตีความ) และประชาชน (ถูกทำให้แตกแยก และโกรธเกลียดกันอย่างหนักหน่วงขึ้นทุกทีๆ
ในท่ามกลางบรรยากาศที่ ความถูกต้องของฝ่ายหนึ่ง ไม่ใช่ความถูกต้องของฝ่ายหนึ่ง ความถูกใจของฝ่ายหนึ่ง ก็ไม่ใช่ความถูกใจของอีกฝ่ายหนึ่ง เรากำลังใช้สิ่งเหล่านี้ หรือเรากำลังถูกล่อ
ให้ใช้สิ่งเหล่านี้จนหมดหน้าตัก จนกลายเป็นความสูญเสียความเป็นกลาง ความเป็นกติกา ความเป็นผู้ระงับยับยั้ง ความเป็นผู้ตัดสิน ความเป็นที่ยุติ
รั้วที่ปลอดภัย เขตอภัยทาน และมาตรการดับวิกฤติในฐานะผู้ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย ถูกทำให้เกี่ยวข้องกับการเมืองไปหมดแล้ว ความปลอดภัยของบ้านเมืองจึงอยู่ที่ใจของคนในชาติแล้ว ว่าจะ
หาหนทาง “อยู่ร่วมกันด้วยความแตกต่างหลากหลาย” หรือไปถึงจุด “เห็นดำเห็นแดง” กันสักที
15) ในความเห็นของผม บัดนี้ เดิมพันสุดท้ายของฝ่ายเห็นต่างคือ เร่งรัดให้ “ประชาธิปัตย์” ในฐานะพรรคการเมืองที่เป็นสถาบันทางการเมือง “ชี้ชัดสงครามยกนี้” โดยไม่ยอมให้มี “ทางที่สาม” อย่างที่ประชาธิปัตย์พยายามมาตลอดการเลือกตั้ง ถ้าเขาลากประชาธิปัตย์ไปจบที่ข้างหนึ่งข้างใดได้ชัดๆ (พูดง่ายๆ ว่าบังคับให้แสดงตนเลือกข้าง) เช่น ไปอยู่กับฝ่ายได้เปรียบทางกฎหมาย ทางทรัพยากร ในนามของการ “เห็นแก่ประเทศชาติ” แบบที่ฝ่ายเรียกร้องแต่ไม่เลือก ปชป. กำลังกดดัน (คือใช้คำว่า ถ้าไม่เลือกข้างลุงตู่ แปลว่าแกจะไปอยู่กับอีกข้างใช่ไหม หรือถ้าไม่เลือกอะไร แล้วบ้านเมืองถึงทางตัน เป็นความผิดของแกนะ แล้วแกจะไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดอีกเลย) หรือจะไปร่วมกับอีกฝ่ายเพื่อ “ปิดสวิตช์ สว.” ที่ถูกออกแบบให้เป็นเครื่องมือแทรกแซงการเลือกนายกฯ หรือจะเป็น “ฝ่ายค้านอิสระ” ซึ่งก็ยากที่จะทำให้คนที่กำลัง “มีอารมณ์จะเลือกข้าง” ยอมรับและเข้าใจ ซึ่งจะถูกตีความว่าเป็น “แนวร่วมมุมกลับ” ให้แก่ “ฝ่ายทำลายชาติ” ตามบรรยากาศที่ถูกปูพื้นมา ขณะที่อีกไม่น้อยก็เชื่อตามวาทกรรมที่ว่า เป็น “ฝ่ายประชาธิปไตย”
จึงเป็นเรื่องยุ่งยาก หนักหน่วง ว่า ประชาธิปัตย์จะยืนหลัก หรือจะถูกลากถูกผลักไปอยู่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ซึ่งผลลัพธ์ก็คือ ประเทศไทยเหลืออยู่แค่ 2 ก๊ก 2 ทาง 2 ฝ่าย ที่พร้อมจะเผชิญหน้ากันตลอดเวลาจริงๆ นี่เป็นสถานการณ์ที่ยากแก่การตัดสินใจของ ปชป. อย่างแท้จริง!!
16) คฑาเพชร แก่นแก้ว ผู้สมัคร ปชป. เพชรบูรณ์ โพสต์ข้อความหนึ่งที่สะท้อนสมการที่น่าสนใจว่า “...จะกำจัดระบอบทักษิณ โดยลุงตู่ โดยการให้ประชาธิปัตย์ไปร่วมกับลุง แล้วจำเลยต่อไป
คือประชาธิปัตย์เป็นคู่ขัดแย้งวนมาอีก ฝันร้ายอีกแล้ว”
ประชาธิปัตย์ถูกวางฐานะแค่ “เครื่องมือสุดท้าย” ในการเสริมพลังทำลายฝ่ายทักษิณ ซึ่งก็ไม่ได้มีหลักประกันอะไรเลยว่าจะทำลายได้ ก็ดูสิครับ รัฐประหารมา 2 ครั้ง คดีโกงชัดเจนออกปานนั้น
น้องสาวหนีออกนอกประเทศ ออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฆ่าคนให้ตายซ้ำ โดยไม่มอบกระบวนการยุติธรรมให้แก่เขา ก็หาได้มีคนถือสาไม่ยังเลือกกลับมาใหม่ ให้ที่นั่ง สส. สูสีกัน เดิมๆ ด้วยผู้เลือกหน้าใหม่ และคนเก่าที่เบื่อการเมืองแบบเก่าๆ เทคะแนนให้พรรคอนาคตใหม่มาเป็นแนวร่วมที่เกือบจะขึ้นเป็น “หัวหอก” ได้ คิดหรือครับว่า ชนะอีกฝ่ายตั้งรัฐบาลรอบนี้ได้สำเร็จ แล้วบ้านเมืองจะสงบ จะสยบหรือจบ “ระบอบทักษิณ” ได้?!?
ความหมายของ “อารมณ์ผู้คน” ในเวลานี้ก็คือ ไม่มีที่ให้ประชาธิปัตย์ยืนยันเลยว่า บ้านเมืองไปต่อได้โดยไม่ต้องเลือกข้าง แต่สร้างหนทางที่จะอยู่ร่วมกันบนความต้องการที่หลากหลาย
ด้วยการทำ “ประชาธิปไตยให้สุจริต” ให้เป็นที่ยอมรับได้ ให้ถูกต้อง โดยไม่ต้องแบ่งฝ่าย แล้วทุกองคาพยพของแผ่นดินจะไม่ถูกใช้หรือถูกทำลาย ในสภาพ “เดิมพันทางการเมือง” อย่างที่กำลังเป็นอยู่!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี