เส้นทางเดินไปถึงฝั่งประชาธิปไตย ยังขาดการใช้ความคิดสติปัญญา ความเป็นเอกภาพของมิตรและแนวร่วม
l เจี๊ยบ & โจ๊ก ลูกรัก
ในสนามการเลือกตั้งทั่วไป 24 มีนาคม 2562 บททดสอบใหญ่ของการเดินทางไปสู่ฝั่งประชาธิปไตย
1. พลังของ “คนส่วนน้อย” ที่เป็นตัวแทนของ “ทุนสามานย์ นักการเมืองเลว และข้าราชการมิชอบ”มี “อำนาจมหาศาล : ทุน กลไกรัฐบางส่วน พรรคการเมือง สื่อ นักวิชาการ และทีมจัดการที่เชี่ยวชาญ” ที่ยังความได้เปรียบหลายเท่าตัว ต่อ : พรรคการเมือง นักการเมือง ที่มีอุดมคติ ที่หวังอาศัยพลังของประชาชนในการต่อสู้ทางการเมือง ตามกติกาและระบอบการเลือกตั้งรัฐสภา
2. บางครั้งมีโอกาส มีผู้นำที่มีอำนาจรัฐ ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากการรัฐประหาร เพื่อยุติความขัดแย้งและมีการร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เกิดการแก้ไขวิกฤติของชาติได้อย่างแท้จริงแต่เสียดายที่ยังคงมีกรอบความคิดเก่า หรือยังไม่กล้าใช้อำนาจรัฐใหม่ เพื่อจัดการปัญหาให้ลุล่วงเพราะขาดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ถึงหลักการใหญ่ของการแก้วิกฤติของบ้านเมืองให้สำเร็จ ที่ทั่วโลกทำกันมาคือ ต้องใช้อำนาจรัฐของประชาชน จัดการกับผู้นำอำนาจเก่า ในระบบโครงสร้างสังคมที่เหลื่อมล้ำ และประชาชนขาดคุณภาพ ตกอยู่ภายใต้อุปถัมภ์ มีความคิดหวังพึ่ง ขาดการมีอิสระ พึ่งตนเองและคิดเป็นทำเป็น โดยอาศัยอำนาจพิเศษ เช่น ม.44 ดำเนินการจัดการอย่างจริงจัง ต่อผู้นำอำนาจเก่าและพวกพ้องที่โกงกินและใช้อำนาจมิชอบในการบริหารราชการที่ผ่านมา นำตัวมาลงโทษ การยึดทรัพย์สินที่โกงกินมาฯ แล้วจัดระบบการเมืองเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมใหม่ ที่เป็นธรรม และพัฒนาคุณภาพประชาชน อย่างมีขั้นตอน รวมทั้งการใช้ การร่างรัฐธรรมนูญ โดยผ่านของประชามติ เพื่อขอฉันทานุมัติ ในการสร้างอำนาจของประชาชนให้มีอำนาจ ในการจัดการกับกลุ่มอำนาจและพรรคการเมืองเก่า ที่โกงและมิชอบธรรมฯ แต่ “ผู้นำส่วนนี้” ก็ยังคงเป็นทหารเป็นพลเรือนที่เน้น “ตัวบทกฎหมายเดิม” และการประนีประนอมเป็นหลักแทนการใช้อำนาจรัฐอย่างเข้มงวดเด็ดขาด เพื่อจัดการตัดทอนกำลังส่วนที่เลวร้ายฯให้หมดหรือลดลงให้มากพอหากจะใช้คำศัพท์วิชาการที่เข้าใจกันง่ายๆ คือ “การขาดคุณสมบัติของการเป็นรัฐบุรุษ ที่เอาอนาคตมาก่อน” เพราะยังติดกรอบ และปรารถนาจะใช้รูปแบบและวิธีการแบบประชาธิปไตยมาแก้วิกฤติ ที่ต่างชาติยอมรับซึ่งประวัติศาสตร์การเปลี่ยนแปลงทั่วโลกจากสังคมเหลื่อมล้ำคนขาดคุณภาพ มีโอกาสน้อยมากที่จะบรรลุผล
หลักการใช้อำนาจ ต้องเข้าใจให้ชัดเจน คือ
ฝ่ายอำนาจเก่าที่มิชอบ ใช้อำนาจรัฐงบประมาณ ดำเนินการมิชอบและไม่เป็นธรรมต่อประชาชน แต่ฝ่ายอำนาจใหม่ที่ชอบธรรม ต้องใช้อำนาจและงบประมาณ ดำเนินการต่อ “ผู้นำเก่าที่โกงกินและสร้างวิกฤติ” ฝ่ายอำนาจใหม่ที่ชอบธรรม จักต้องปรึกษาหารือกับรัฐสภา และศาลให้มีการดำเนินการอย่างจริงจังทันกาลบทเรียนที่ผ่านมา แต่ไม่รู้จักจดจำ คือ “ใช้กฎเกณฑ์ กติกาเดิม” ต่อ “อำนาจเก่าที่ใช้อำนาจมิชอบโกงกิน” โดยหวังการประนีประนอม หรือ หวังให้มีภาพที่ดูดี ในสายตาของต่างประเทศ มักล้มเหลว แล้วหลังการเลือกตั้ง พวกอำนาจเก่า ที่มีความได้เปรียบ ก็กลับเข้ามาสร้างวิกฤติที่ทวีมากขึ้นอีกต้องศึกษาบทเรียนของ “สิงคโปร์ หรือ จีน” ที่ผู้นำใหม่ ใช้อำนาจเด็ดขาด ต่ออำนาจเก่าที่โกงกินบ้านเมืองโดยในช่วงแรก และระหว่างการดำเนินการฯ ก็จะถูกพวกสิทธิมนุษยชนและพวกฝรั่งกล่าวหา “เป็นเผด็จการ” แต่ภายหลัง เมื่อ 2 ประเทศสามารถปฏิรูป ให้เกิดความเสมอภาคเป็นธรรมมีสุข, เขาก็กลับมายกย่องชื่นชม
3. เรื่องที่สำคัญที่จักขอเน้น และนำมากล่าวให้เป็นรูปธรรม คือ “ในหมู่มิตรและแนวร่วม”
คือ ต้องมีกรอบคิดและการใช้ความคิด ความรู้ สติปัญญา แสวงหาสัจจะจากความเป็นจริง
1) ต้องเรียนรู้ ศึกษาอย่างถ่องแท้ เพื่อจำแนกว่า “ใครเป็นมิตร และเป็นแนวร่วม” ในการเปลี่ยนแปลงสังคม
มิตร = อยู่ในกลุ่มหรือสังกัดเดียวกัน องค์กร หรือพรรคการเมืองของประชาชนมีความคิดที่เป็นเอกภาพ ที่ผ่านการศึกษาเรียนรู้ และการปฏิบัติงานร่วมกันมาอย่างต่อเนื่อง แนวร่วม = ผู้ที่มีความคิด และได้รับประโยชน์ร่วมกัน ในการทำกิจกรรมร่วมกัน ในเป้าหมายระยะที่แน่นอนและที่สำคัญต้อง จำแนกว่า ใครเป็นศัตรู หรือเป็นปฏิปักษ์ ที่ขัดขวางการทำเพื่อบ้านเมืองคนเหล่านี้ มีความคิด กลไก เครื่องมืออะไร ที่เอาเปรียบ หรือ ทำร้ายประชาชน ทำลายประเทศชาติ
2) มิตรและแนวร่วม ต้องเข้าใจ ถึงความรักและความเป็นเอกภาพ ในการร่วมมือและทำงานร่วมกันสำหรับแนวร่วม ต้องเข้าใจกฎ “การแสวงจุดร่วม และสงวนจุดต่าง”
จุดร่วม = เป้าหมาย และผลประโยชน์ที่จักได้มา ด้วยการร่วมมือ และการประสานงานกัน
จุดต่าง = เป็นเรื่องความคิด ความเห็นความชอบ ในบางเรื่อง ที่อยู่นอกเป้าหมายร่วมกัน
3) การเข้าใจความจำเป็นของยุทธศาสตร์ยุทธวิธี กระบวนการ จังหวะก้าว ขั้นตอน และระยะเปลี่ยนผ่านซึ่ง เรื่องเหล่านี้ เป็นความจำเป็น ตามสภาพที่เป็นจริงของสังคมและบุคคล การไปถึงเป้าหมายมิอาจทำได้ทันที แต่ต้องมีจังหวะก้าว และขั้นตอน ที่จักต้องค่อยๆ ไป
4) ต้องมีการศึกษา เรียนรู้ ติดตาม ข่าวสารข้อมูลของตนเอง มิตร แนวร่วม และฝ่ายที่เป็นศัตรูเพราะในยุคของสังคมโซเชียลมีเดีย มีข่าวเท็จข่าวลวงมากมาย ที่จะทำให้เราหลงทิศและเข้าใจผิดกัน
5) ต้องเข้าใจ ปัญหาหลัก รอง ภาพรวม และเรื่องเฉพาะ อย่าเอาเรื่องรองมาเป็นเรื่องหลัก จักทำให้พลาดฯ
6) ต้องมีการปฏิบัติงาน หรือร่วมมือกันประจำ เพราะทำให้เกิดการเรียนรู้ และสร้างความรักความสัมพันธ์กัน
7) มีการปรึกษาหารือ หรือ ประชุมแลกเปลี่ยน สรุปประเมินผลงานประจำ เพื่อยกระดับความก้าวหน้าฯ
l ปัญหาที่ไม่เล็ก คือ “ความรู้ ประสบการณ์ ข้อมูลที่ต่างกัน” ทำให้เพื่อนมิตรหรือแนวร่วม ไปจัด “แนวร่วมเป็นศัตรู” ทั้งโดย อคติต่อทหาร นายทุน ข้าราชการฯ อย่างไม่จำแนกแยกแยะ เช่น ในช่วงระยะผ่านที่สำคัญ ในการขจัดหรือลดบทบาทของระบอบทุนสามานย์ ที่สร้างระบบของตนได้แล้ว (คือไม่ว่า เขาจะไป หรือใครจะเข้ามาเป็น “นายกรัฐมนตรี” แทนเขา ก็จักสามารถใช้ระบบที่เริ่มมั่นคงได้เช่น ทักไป สมัครมา สมชายมา ปูมา หรือหน่อย และพรรคของเขา ก็เข้ามาได้จำนวนมาก ฯลฯ)
ส่วน “ลุงตู่” ที่มีผลงานทำเพื่อบ้านเมืองได้ในระดับหนึ่ง ยังแก้ไม่ได้หมด เพราะ “ปัญหาสะสมมาก”เพื่อนมิตรบางส่วน ขาดข้อมูล หรือมีอคติต่อทหาร กองทัพ ข้าราชการฯ ก็มุ่งโจมตี ใส่ร้ายฯ ทำตัวเป็นแนวร่วมมุมกลับให้ฝ่ายทุนสามานย์ หรือพวกอ้างเป็นคนรุ่นใหม่ แต่ไม่เอาสถาบัน วัฒนธรรมไทย ซึ่งทำให้ “พวกเขา” ใช้เป็นข้ออ้าง โจมตีกล่าวหา และอ้างว่า “พวกเรา ก็ไม่เอาลุงตู่”
@ การทำความเข้าใจเรื่อง “มิตรและแนวร่วม” จึงมีความสำคัญและจำเป็น ในการรวมพลังในการเปลี่ยนแปลง
@ ขอเพื่อนมิตรที่รักชาติรักประชาธิปไตย ต้องร่วมมือกัน ถนอมรักกันกับมิตรและแนวร่วม เพื่อบรรลุเป้าหมาย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี