วันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม 2562 พลเมืองไทยได้ทำการเลือกตัวแทนไปทำหน้าที่ในรัฐสภา และไปบริหารบ้านเมืองอย่างพร้อมเพรียงกัน
การที่คนไทยออกมาใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตัวแทนกันมากมายจนทำลายสถิติในอดีตได้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าภูมิอกภูมิใจ เป็นการสะท้อนว่าพวกเรานั้นเอาใจใส่ในเรื่องบ้านเมืองของเรา
แต่อย่างไรก็ดี สิทธิและหน้าที่พลเมืองของเรานั้นยังมิได้สิ้นสุดไปในวันที่ 24 มีนาคม ที่ผ่านมา เพราะการหย่อนบัตรลงคะแนนนั้นถือเป็นแค่หนึ่งในสิทธิและหน้าที่พลเมืองที่สำคัญเท่านั้น โดยเราคนไทยทุกคนยังมีสิทธิและหน้าที่ในการเป็นพลเมืองอีกมากมายที่ต้องรักษา และปฏิบัติหลังจากนี้
อีกหนึ่งเรื่องสำคัญเรื่องต่อจากนี้ก็คือ การติดตาม ตรวจสอบการดำเนินงานของผู้แทนของเราว่าได้ทำงานการอย่างจริงจัง ทำด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ทำด้วยความโปร่งใสเพื่อความผาสุกของพวกเราหรือไม่ ซึ่งเรียกว่า การมีส่วนร่วม (Participation) ในการแสดงความคิดเห็น ในการวิพากษ์วิจารณ์ และร่วมตัดสินใจ ต่อเรื่องหนึ่งเรื่องใด ที่ฝ่ายผู้แทนของเรา (ในรัฐสภา) หรือในคณะรัฐบาล คิดอ่านกระทำการกัน
ประเด็นก็คือ ผู้แทนที่ได้คะแนนเสียงของเราไปแล้ว ก็มิได้หมายความว่า เขาทั้งหลายจะสามารถไปทำอะไรต่ออะไรตามอำเภอใจได้ หรือนัยหนึ่งเขาได้อำนาจของเราไปทำการแล้ว เขาจะลืมเราผู้เป็นเจ้าของอำนาจมิได้ จะทำอะไรที่สำคัญๆ เขาก็จะต้องมาบอกกล่าว มาปรึกษาหารือ และขอความเห็นพ้องเห็นชอบจากพวกเราประชาชนด้วย จะต้องมีเวทีให้เราได้มีส่วนร่วมในการปรึกษาหารือ ถกเถียง และหาข้อยุติร่วมกัน ทั้งการจะแก้ไขกฎหมาย การจะยกร่างกฎหมาย หรือการจะจัดทำแบบแผนการใช้งบประมาณ คือต้องเป็นการร่วมมือกันทุกขณะ ทุกขั้นตอน
มิใช่เมื่อเขาได้เป็นผู้แทนของเราแล้ว ไม่ต้องเหลียวหลังกลับมาพบเราอีกเลย
ฉะนั้น ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ที่ถูกที่ควร จึงต้องเป็นระบอบที่มีตัวแทน หรือผู้แทน (Representation) ซึ่งจะต้องวิ่งคู่ขนานไปกับการมีส่วนร่วมกันคิดร่วมกันตัดสินใจ (Participation) เสมือนเป็นคู่แฝด หรือนัยหนึ่งพรรคกับประชาชนต้องไปด้วยกันอยู่ตลอดเวลา
การจะทำให้การมีส่วนร่วม มีความกว้างขวาง ลึกซึ้ง มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลนั้น ตัวผู้แทนและพรรคการเมืองก็ต้องบอกกล่าวลูกบ้าน แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น เปิดเผยข้อมูล เป็นลำดับแรก เพราะผู้แทนและพรรคการเมืองอยู่กับ และอยู่ติดกับประชาชน นอกเหนือจากการเข้าถึงประชาชนพลเมืองผ่านกลไกรัฐ เช่น ระบบราชการต่างๆ ตามครรลองทั่วไป
อีกเรื่องหนึ่งที่จะอำนวยให้การมีส่วนร่วมเข้มแข็งก็คือ การกระจายอำนาจมิให้กระจุกตัวอยู่ที่ส่วนกลาง และมิให้กระจุกตัวอยู่ที่ระบบราชการ แต่ให้ท้องถิ่น ให้องค์กรวิชาชีพ ให้กลุ่มผลประโยชน์ ให้กลุ่มส่งเสริมขับเคลื่อน (Advocacy) ได้เข้ามารับผิดชอบในเรื่องของตนเองให้มากยิ่งขึ้น ไปจนถึงการกระจายงบประมาณให้เกิดความสมดุลระหว่างงบที่ให้กับส่วนกลางกับงบที่ให้ในท้องถิ่นให้มากขึ้น
โดยทั้งหมดของการมีส่วนร่วมคือ ความเชื่อมั่นว่าประชาชนพลเมืองสามารถดูแลและจัดการตนเองได้ โดยภาครัฐเป็นผู้สนับสนุน และกำกับดูแลให้เกิดความยุติธรรมและทั่วถึง
การมีผู้แทนมิได้หมายความว่า เป็นการที่ประชาชนโยนภาระรับผิดชอบไปให้หมด เพราะนั่นเท่ากับว่าเราพลเมืองจะละทิ้งสิทธิและหน้าที่ของการร่วมเป็นเจ้าของประเทศโดยการมีส่วนร่วมไป
ในแง่กลับฝ่ายผู้แทนก็ต้องตระหนักว่า จะต้องหันกลับมาหาประชาชนพลเมืองอยู่ตลอดเวลา การร่วมมือกันจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพราะจะช่วยเสริมสร้างให้ประชาธิปไตยเข้มแข็ง และมีความยั่งยืนนั่นเอง
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี