แม้การเลือกตั้งจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่สภาพการเมืองหลังการเลือกตั้งก็ทำท่าจะทุลักทุเลต่อไป หลังคะแนนสองพรรคใหญ่ออกมาสูสีชนิดกินกันไม่ลง จนเป็นเหตุให้กรรมการอย่าง กกต. ตกเป็นเป้าถูกวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าสภาวะความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นนี้จะนำไปสู่จุดเปลี่ยนที่จะทำให้การเมืองไม่เปลี่ยนไปจากเดิมหรือไม่?
ผลของการเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่ว่ามองจากมุมไหนก็ไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะอย่างขาดลอย แม้จะควบรวมพรรคร่วมของแต่ละฝ่ายเข้าไปแล้วก็ยังคงสูสีไม่ต่างกัน จึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะได้รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ที่หากมองกันที่เรื่องเสถียรภาพก็คงไม่ต้องพูดถึง เพราะแค่ สส. แม้เพียงคนเดียวโดดสภาก็คงเป็นเรื่องยุ่งแล้ว นอกจากนี้ ภายใต้สถานการณ์ที่คะแนนของสองพรรคใหญ่ออกมาใกล้เคียงกัน สิ่งหนึ่งที่น่าจะสะท้อนออกมาไม่น้อยคงเป็นเรื่องความขัดแย้งในใจของประชาชน ที่ยังคงเป็นการต่อสู้ระหว่างสองขั้วเช่นเดิม จะมีก็แต่เพียงคู่กรณีที่เปลี่ยนไปเป็นระหว่างประชาชนที่หนุนพรรคเพื่อไทยและที่หนุนพรรคพลังประชารัฐ โดยอ้างอิงจากผลการเลือกตั้งแล้วพอจะอนุมานได้ว่าทั้งสองขั้วมีมวลชนหนุนหลังมากพอๆ กัน งานนี้จึงได้เห็นเกมการเมืองจากทั้งสองฝ่ายในการสร้างความชอบธรรมว่าตัวเองควรมีสิทธิรวบรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลก่อน ไม่ว่าจะอ้างจำนวน สส. หรืออ้างคะแนนเสียงทั่วประเทศ?
การตัดสินใจร่วมรัฐบาลหรือร่วมฝ่ายค้านกับขั้วใดขั้วหนึ่ง ก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะพรรคใหญ่ได้ตั้งเงื่อนไขต่างๆ เอาไว้ สำหรับพรรคเพื่อไทย แม้มีการลงนามในสัตยาบันรวมถึงประกาศจะจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคร่วมแล้ว ก็ไม่ได้เป็นเครื่องการันตีการได้เป็นรัฐบาลแต่อย่างใด? โดยแม้จะไม่นับเรื่องที่ตัวเลขที่ยังไม่นิ่งและกรณีใบเหลือง ใบแดงและใบส้มในส่วนที่มีโอกาสจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ก็ยังมีปัญหาที่ยังแก้ไม่ตกอย่างเรื่อง 250 สว. อยู่ดี? หนทางเดียวอย่างการรวบรวมเสียงให้ได้ถึง 376 เสียง ก็เหมือนจะถูกปิดไปแล้วหรือยากอย่างมากหรือไม่? เพราะเดิมทีพรรคเพื่อไทยก็คงคาดไม่ถึงว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาจะเบียดกับพลังประชารัฐจนดูเหมือนกึ่งแพ้กึ่งชนะขนาดนี้? จึงทำให้เรื่องที่หลายคนสังเกตเห็นอย่างความพยายามในการอ้างตัวเองเป็นฝั่งประชาธิปไตยกลายเป็นดาบคืนสนองขึ้นมาทันที เพราะแทนที่จะสามารถเดินหน้าจับมือกับพรรคอื่นๆ ได้อย่างอิสระ กลับต้องมาถูกผูกมัดด้วยเงื่อนไขที่ตัวเองตั้งไว้ใช่หรือไม่? และกลายเป็นปมการเมืองไปสู่ทางเลือกที่เหลือไม่กี่ทางหรือไม่?
ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนมนต์ขลังของเพื่อไทยจะเสื่อมคลายแล้วหรือไม่? เพราะหากว่ากันตรงๆ แล้ว ดูเฉพาะผลคะแนนผนวกกับกฎกติกาที่ถูกกำหนดอยู่ก่อนแล้ว คงเป็นเรื่องยากสำหรับพรรคเพื่อไทยที่จะได้เป็นรัฐบาล ด้วยจำนวนเก้าอี้ สส. ที่นับว่าน้อยลงมากเมื่อเทียบกับในอดีต รวมถึงการที่พรรคพลังประชารัฐมีคะแนนรวมทั้งประเทศมาเป็นอันดับที่ 1 ทิ้งห่างพรรคเพื่อไทยหลายแสนคะแนน ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าจะทำให้เพื่อไทยเสียขวัญไม่น้อย? เพราะพรรคที่เคยชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายหลายต่อหลายครั้งอย่างเพื่อไทยกลับต้องมายอมโอนอ่อนเจรจากับพรรคอื่นๆ เพื่อให้ได้เป็นรัฐบาล? ซึ่งก็ใช่ว่าจะไปถึงฝันได้? เพราะดูแล้วคงจะมีแค่อนาคตใหม่พรรคเดียวที่มีฐานเสียงเข้มแข็ง และยืนหยัดว่าจะล่มหัวจมท้ายไปด้วยกัน? ในขณะที่พรรคตระกูลเพื่อ อย่างเพื่อชาติกลับทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวัง? เพราะเก็บได้เพียงแค่ไม่กี่เก้าอี้ ยังไม่รวมถึงความเป็นไปได้ที่จะร่วมกับพรรคเศรษฐกิจใหม่ที่อะไรก็เกิดขึ้นได้? ทั้งหมดนี้ทำให้หลายคนเริ่มมองแล้วว่า ด้วยแนวร่วมฝั่งเพื่อไทยที่มีอยู่ขณะนี้ คงไม่ต้องมองไปไกลถึง 376 เสียงแล้ว ลำพังแค่ 251 เสียงยังต้องไล่กวดกับพลังประชารัฐอย่างยากลำบาก?
ด้านพรรคพลังประชารัฐ แม้หลายคนจะมองว่าอาศัยเสียงสว. มาช่วยเลือกนายกฯ ได้? แต่เส้นทางหลังจากนั้นก็ยังดูคลุมเครือ? เพราะการรวมเสียงในสภาผู้แทนฯ น่าจะไม่ใช่เรื่องง่าย จากที่หลายคนคาดเดากันเรื่องเงื่อนไขที่พรรคต้องการให้พล.อ.ประยุทธ์ขึ้นเป็นนายกฯ เท่านั้น? รวมไปถึงกระแสข่าวว่าหลายคนที่เคยอยู่ใน ครม. ของพล.อ.ประยุทธ์ก็ต้องการอยู่ในอำนาจต่อ? เพราะฉะนั้นแล้วด้วยมาตรฐานที่กำหนดไว้เช่นนี้คงทำให้การหาข้อยุติในการเจรจากับพรรคร่วมเป็นเรื่องหินทีเดียว จึงไม่แปลกอะไรที่นักวิเคราะห์ประเมินว่า พรรคพลังประชารัฐน่าจะเก็บเสียงได้อย่างมากที่สุดก็คงเกินครึ่งหนึ่งของสภาฯ มาเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งถ้ารวบรวมได้เพียงเท่านี้จริง ก็คงเข้าข่ายเป็นรัฐบาลปริ่มน้ำที่พรรคร่วมมีอำนาจต่อรองสูงมากๆ ยกเว้นหากจะมีเรื่องของงูเห่าเข้ามาทำให้กระบวนการจัดการในสภาง่ายขึ้น ซึ่งก็ต้องรอดูหลัง กกต. ประกาศผลอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 พ.ค. อยู่ดี
ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่เข้ามาพลิกโฉมการเมืองทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้ง คงเป็นตัวแปรอย่างโซเชียลมีเดีย ซึ่งหากนำไปใช้อย่างสร้างสรรค์ก็คงเป็นเรื่องดี เพียงแต่ในความเป็นจริงโดยมากกลับมีหลายฝ่ายที่พยายามใช้สังคมออนไลน์ เป็นเครื่องมือในการโจมตี ให้ร้าย สร้างข่าวเท็จ โดยอาศัยความสะดวกรวดเร็วของสังคมออนไลน์เป็นแรงกระตุ้นให้ความขัดแย้งกระจายเป็นวงกว้าง อย่างกรณีการวิพากษ์วิจารณ์
การทำงานของ กกต. ในประเด็นการนับคะแนนเลือกตั้ง ซึ่งบางเรื่องก็น่าคิด แต่ในขณะที่บางเรื่องดูไม่น่าจะเป็นประเด็น แต่ก็กลับกลายเป็นเรื่องถกเถียงขึ้นมาได้ อย่างกรณีจำนวนบัตรเสีย ที่เมื่อลองเปรียบเทียบกับการเลือกตั้งเมื่อปี’54 แล้ว อัตราส่วนของบัตรเสียแทบไม่ต่างกันกับจากการเลือกตั้งในครั้งนี้ รวมถึงอีกหลายประเด็นที่มีการนำมาวิพากษ์วิจารณ์ในโซเชียล ซึ่งในที่สุดแล้ว เมื่อลองพิจารณาจากเหตุผลเหล่านี้ ก็ดูจะน่าทบทวนดูอีกทีว่าเรื่องใดที่ควรให้ กกต. ตรวจสอบใหม่ จากความผิดพลาดจริงๆ และเรื่องใดที่เป็นแค่ความพยายามของฝ่ายหนึ่งที่ต้องการสร้างประเด็นเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมือง?
เพราะที่สุดแล้ว กระแสความไม่พอใจ กกต. ก็กลับกลายเป็นการเมืองบนท้องถนนขึ้นมาอีกจริงๆ เมื่อมีคนบางกลุ่มเริ่มสร้างประเด็นการชุมนุมแสดงความไม่พอใจในการปฏิบัติหน้าที่ของกกต. ตลอดจนเรียกร้องให้มีการถอดถอน กกต. ชุดนี้ อย่างไรก็ตาม ที่น่าสังเกตมากกว่านั้น คงเป็นเรื่องห้วงเวลาที่หลายคนคิดว่ามีความพอเหมาะพอเจาะกันพอดีหรือไม่? กับกรณีที่ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประกาศพระราชโองการฯ เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์จากนายทักษิณ ที่น่าคิดคงเป็นเพราะหลายคนก็คุ้นภาพลำดับเหตุการณ์ในทำนองนี้? ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนในสมัยที่นายทักษิณถูกศาลพิพากษาตัดสินคดียึดทรัพย์เมื่อปี’52 ก็เกิดกลุ่มม็อบที่ออกมาเคลื่อนไหวแบบนี้เช่นกัน ซึ่งแม้จะออกมาเรียกร้องคนละเรื่อง แต่ช่วงเวลาช่างเหมาะเจาะอย่างน่าคิด? อีกไม่กี่วันประเทศไทยก็จะเข้าสู่พระราชพิธีสำคัญ การกระทำของฝ่ายใดๆ จำเป็นต้องคำนึงถึงเรื่องนี้และควรระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งไม่ให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวายในช่วงเวลาสำคัญ
ที่น่าแปลกคือไม่ได้มีแค่แนวร่วมฝั่งเพื่อไทยและกลุ่มผู้ชุมนุมเท่านั้นที่ออกมาวิจารณ์การทำงาน กกต. เพราะแม้กระทั่งพรรคพลังประชารัฐซึ่งถูกมองว่าเป็นพรรคที่ได้ประโยชน์จากบทบาทของ กกต. ก็ยังออกมาเรียกร้องให้มีการชี้แจงข้อกังขาที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันในฟากรัฐบาล ก็เป็นเรื่องน่าแปลกอีกเช่นกัน? ที่อยู่ดีๆ ระดับรองนายกฯ ก็ยังออกมาขอให้ กกต. อธิบายวิธีการคำนวณคะแนน ตอนนี้จึงเท่ากับว่าไม่ว่าฝ่ายใดก็ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ กกต. กันแทบทั้งสิ้น? จนหลายคนก็เริ่มกลัวว่าถ้าหากเกิดข้อสงสัยในผลการเลือกตั้งเป็นวงกว้างเช่นนี้ จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป? หรืออย่างเลวร้ายที่สุด การเลือกตั้งจะเป็นโมฆะหรือไม่? ยังไงก็ตาม หากเกิดการเลือกตั้งใหม่ขึ้น จะเกิดประโยชน์และผลเสียกับใครหรือกลุ่มใดบ้าง? สำหรับประเทศ การต้องสูญเสียงบประมาณเกือบ 6 พันล้าน ในการเลือกตั้งครั้งนี้ไปฟรีๆ คงนับเป็นความเสียหายไม่ใช่น้อย สำหรับประชาชนที่รอคอยการเปลี่ยนแปลง ก็คงชัดเจนว่าเสียประโยชน์ เพราะแทนที่จะได้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศภายใต้ รธน. เสียที กลับกลายเป็นการต่ออายุให้รัฐบาล คสช. บริหารต่อไปได้? สุดท้ายประโยชน์จึงน่าตกแก่ คสช. หรือไม่? ด้วยสถานะที่ยังคงดำรงไว้ซึ่งอำนาจเต็ม ก็จะมีเวลาเพิ่มที่จะดำเนินโครงการรัฐต่างๆ รวมถึงการสะสางปัญหา และออกกฎหมายให้เสร็จสิ้นใช่หรือไม่?
ล่าสุด ผบ.ทบ. ก็ได้ออกมาส่งสัญญาณบางอย่างที่คลับคล้ายคลับคลาเป็นการเตือนว่าหากมีความขัดแย้ง ก็มีโอกาสที่จะเกิดรัฐประหารอีกระลอก? ซึ่งก็น่าคิดแล้วว่าถ้าแต่ละฝ่ายไม่ลดราวาศอกต่อกันเช่นนี้ ความฝันที่จะได้รัฐบาลหลังการเลือกตั้งที่อยู่ภายใต้ รธน. ก็คงจะหลุดลอยไปเป็นแน่?
“...ความเชื่อมั่น” ความจริงเป็นอาวุธชนิดหนึ่ง มิหนำซ้ำ”
เป็นอาวุธคมกล้าที่สุด ได้ผลที่สุด...”
โกวเล้ง จากเรื่อง ซาเสียวเอี้ย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี