จากผลการเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคม ซึ่ง กกต. ได้ประกาศผลอย่างไม่เป็นทางการ จะเห็นได้ว่าพรรคพลังประชารัฐสามารถครองใจผู้คนได้เป็นอันดับหนึ่ง ด้วยคะแนนเสียง 8.43 ล้านคน ที่ลงคะแนนให้ ขณะที่พรรคเพื่อไทย แม้ว่าได้คะแนนเสียงจากผู้ลงคะแนนเป็นที่สอง คือ 7.92 ล้านคะแนน แต่ก็ได้จำนวนผู้แทนราษฎรมากที่สุด คือ 137 คน (ตามผลประกาศเมื่อวันที่ 28 มีนาคม)
พรรคเพื่อไทยจึงอ้างว่าพรรคตนเองได้เสียงส่วนใหญ่ และมีความชอบธรรมจะเป็นพรรคผู้นำในการจัดตั้งรัฐบาล
ขณะที่พรรคพลังประชารัฐ ก็อ้างเสียงประชาชนทั่วประเทศที่ลงคะแนนให้มากกว่าพรรคอื่นๆ รวมทั้งเพื่อไทย ฉะนั้น พลังประชารัฐก็ควรมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะจัดตั้งรัฐบาลเช่นกัน
เมื่อต่างคนต่างอ้างว่าความชอบธรรมเป็นของตนเอง พรรคเพื่อไทยจึงเคลื่อนไหวที่จะรวบรวมพรรคต่างๆ ที่จะสนับสนุนให้เพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาล และทำการเซ็นบันทึกช่วยจำ ซึ่งมีพรรคร่วมเซ็นลงนามข้อตกลง เช่น เพื่อไทย อนาคตใหม่ เสรีรวมไทย ประชาชาติ พรรคเพื่อชาติ และพรรคพลังปวงชนไทย เว้น เศรษฐกิจใหม่ ที่ไม่ได้มาเซ็นในช่วงเวลานั้น แต่ประกาศว่าจะเข้าร่วม และอ้างว่าได้คะแนนรวมเกินกว่า 250 เสียง
ส่วนพรรคพลังประชารัฐ ก็ประกาศจัดตั้งรัฐบาลเช่นกัน แต่ยังไม่เปิดเผยรายละเอียด อ้างว่าตัวเลขผู้ที่ได้รับเลือกตั้งยังไม่เป็นทางการ ขอให้รอหลังวันที่ 9 พฤษภาคม
แต่ไม่ว่าจะอ้างความชอบธรรมในลักษณะใดตามรัฐธรรมนูญ (ฉบับนี้) ในช่วง 5 ปีแรก สมาชิกวุฒิสภา 250 คน มีสิทธิในการเข้าร่วมเพื่อเลือกตั้งนายกรัฐมนตรี ฉะนั้นคะแนนที่จะตัดสินว่าใครจะได้รับเลือกในรัฐสภา (สภาผู้แทนราษฎร 500 คน + วุฒิสภา 250 คน = 750) ให้เป็นนายกรัฐมนตรี คือ 375+ ไม่ใช่ 250+
โอกาสที่กลุ่มพันธมิตรพรรคเพื่อไทยจะได้รับเลือกจึงมีน้อยนิด ในทางตรงกันข้าม พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งพรรคพลังประชารัฐนำเสนอ คงจะได้เสียงสนับสนุนส่วนมากจาก ส.ว. ซึ่งรวมกับกลุ่ม ส.ส. ในสภาผู้แทนฯ แล้วคงจะได้ผู้สนับสนุนมากกว่า 375 คน
ฉะนั้น การเลือกตั้งนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงไม่น่าจะมีปัญหา แต่การจัดตั้งรัฐบาลของพรรคพลังประชารัฐ คงไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะแม้จะได้พรรคต่างๆ มาร่วม ที่สำคัญคือ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรครวมพลังประชาชาติไทย ฯลฯ แต่ถ้าหากไม่มีพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมี 52 เสียง เข้าร่วม รัฐบาลของพรรคพลังประชารัฐก็คงดำรงอยู่ด้วยความยากลำบาก จะผ่านการพิจารณาของแต่ละวาระอย่างยาก โดยเฉพาะ พ.ร.บ.งบประมาณประจำปี ซึ่งหากไม่ผ่าน รัฐบาลก็ต้องลาออก คงจะมีปรากฏการณ์ “งูเห่า” - ส.ส. จากพรรคอื่นๆ นอกจากพรรคร่วมรัฐบาล ที่มาลงคะแนนร่วมฝืนมติของพรรคตนเอง
ความสนใจของสาธารณชนขณะนี้ ก็คือท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์จะเป็นอย่างไร ? ก่อนการเลือกตั้ง ท่านหัวหน้าพรรค-คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ได้กำหนดจุดยืนไว้ชัดเจนอยู่แล้ว ว่าจะไม่เข้าร่วมกับรัฐบาลที่มีพลเอกประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยเหตุผลที่ประชาธิปัตย์ไม่ต้องการสนับสนุน “การสืบทอดอำนาจ”
ประเด็นนี้ กลายเป็นประเด็นปัญหาคาใจมวลสมาชิกประชาธิปัตย์และประชาชนที่เอาใจช่วยพรรคว่า เป็นปัจจัยที่ทำให้ประชาธิปัตย์แพ้เลือกตั้ง หรือได้คะแนนน้อยเกินคาดใช่หรือไม่ ? แล้วขณะนี้ในพรรคประชาธิปัตย์ก็จะมีการเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ และตั้งกรรมการบริหารพรรคใหม่ การกำหนดจุดยืนว่าจะเข้าร่วมรัฐบาลพรรคพลังประชารัฐ (โดยมีพลเอกประยุทธ์ เป็นนายกฯ) หรือไม่ ? ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน เพราะเกิดความคิดเห็นแยกเป็น 2 ทาง
เส้นทางแรก คือ เข้าร่วมเพื่อสนับสนุนให้เกิดรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ โดยมีเงื่อนไขต่างๆ เช่น การสงเคราะห์ช่วยเหลือชาวสวนยาง ฯลฯ เหตุผลคือเพื่อให้เกิดความสงบในสังคมที่ดูจะร้อนระอุ “จากสึนามิ” โพ้นทะเล
เส้นทางเลือกที่ 2 คือ ไม่เข้าร่วม แต่จะขอเป็นกลุ่ม “อิสระ” (Independent) หรือฝ่าย “ค้านอิสระ”ที่จะไม่อยู่ใต้หัวหน้าวิปของพรรคฝ่ายค้าน ความหมายก็คือ จะไม่ร่วมกับพรรคฝ่ายค้านที่เป็นทางการ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่รัฐธรรมนูญฉบับต่างๆ มักรับรองทำนองเดียวกับ “Loyal Opposition” ของอังกฤษ
เหตุผลของฝ่ายที่เสนอทางเลือกที่ 2 คงมีเช่นกัน เช่น จะได้มีเวลาปฏิรูปพรรคจากภายใน ฟื้นฟูพรรคให้ทันสมัย และมีความเป็นปึกแผ่น ฯลฯ
ตามความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน การมีกลุ่ม “อิสระ” – Independent ดังกล่าว น่าจะมีประโยชน์ อย่างแรกคือ ปลดปล่อยให้พลังทางการเมืองมีเสรีภาพของการแสดงความคิดเห็น เกิดความคิดสร้างสรรค์ และมีรสชาติมากขึ้น สำหรับในกรอบกติกาปัจจุบัน โอกาสของการแสดงศักยภาพมีในขอบเขตจำกัด หากไม่มีวาระการอภิปรายไม่ไว้วางใจ (ซึ่งก็ไม่ใช่จะกำหนดขึ้นง่ายๆ โดยขาดความรับผิดชอบ) ก็มีเพียงวาระการอภิปรายงบประมาณรายจ่าย ซึ่งก็ยังกำหนดเวลาการอภิปรายไว้สั้นมาก โอกาสที่สมาชิกสภาจะได้มีบทบาททำประโยชน์แก่ประเทศชาติมากกว่า ก็คือ ในคณะกรรมาธิการชุดต่างๆ ซึ่งสมาชิกบางท่านก็ขยันขันแข็งและทำประโยชน์ไว้มาก โดยไม่มีสาธารณชนรับรู้รับทราบ
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ข้อเสนอให้มีกลุ่มอิสระ (Independent group) เป็นเรื่องที่น่าสนับสนุนให้เกิดขึ้น นอกจากกลุ่มฝ่ายค้านในราชการของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่ประเด็นการจะเข้าร่วมรัฐบาลของพรรคพลังประชารัฐ (หากจัดตั้งได้) จะสมควรเป็นทางเลือกหรือไม่ของพรรคประชาธิปัตย์ ยังคงเป็นประเด็นที่จะต้องอภิปรายให้กว้างขวาง ลึกซึ้งภายในพรรค เพราะมีประเด็นเกี่ยวกับความรู้สึกของประชาชน โดยเฉพาะชนชั้นกลางใน กทม. และหัวเมืองใหญ่ๆ ซึ่งจะให้ความสำคัญต่อเสถียรภาพและความสงบสุข ความมั่นคงของสถาบัน มากเท่าๆ กับสถานภาพทางเศรษฐกิจ
โดยสรุป หากใคร่ครวญพิจารณาถึงสภาพการเปลี่ยนแปลงของสังคมการเมืองดังที่ปรากฏจากการลงคะแนนเสียงครั้งที่ผ่านมา ภารกิจที่สำคัญไม่แพ้ด้านเศรษฐกิจและการทำมาหากินของประชาชนแล้ว ก็คือ การสร้างพื้นฐานทางความคิด-ความรู้สึก-ความมุ่งมาดปรารถนาของผู้คนทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ให้มีโลกทัศน์ในทางบวก ให้รู้รักสามัคคี และช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มากกว่ายึดความเป็นหนึ่งเดียวของตนเอง และที่สำคัญก็คือ การกำหนดเป้าหมายทางการศึกษา เพื่อตอกย้ำหรือริเริ่มให้เยาวชนได้เรียนรู้ความหมายอันแท้จริงของแนวคิด/หลักคิดทางการเมือง-สังคม-ศาสนา เพราะสิ่งเหล่านี้ ถูกบิดเบือนกันมากเพื่อการโฆษณาชวนเชื่อในสงครามจิตวิทยาระหว่างฝ่ายต่างๆ จนบัดนี้ประชาชนทั้งหัวหงอกหัวดำจำนวนมากก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงจ้องเอาผิดกับ “คนแดนไกล” กันนัก ห้าปีของรัฐบาล คสช. ได้ทำงานสำเร็จตามเป้าหมายหรือไม่ ? ทำไมจะต้องมาต่อสู้กับสงครามซึ่งไม่มีวันจะรู้จบ ประดุจสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็ต้องต่อด้วยครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 ที่เรียกว่าสงครามเย็น
เชิญท่านผู้อ่านลองพิจารณาดูว่า อะไรคือประเด็นสำคัญที่จะต้องทำการปฏิรูป การศึกษานอกระบบหรือการศึกษาทางสังคมใช่หรือไม่ ? และเป้าหมายคือการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับระบบการเมืองการปกครอง ระบบครอบครัวและสังคม ใช่หรือไม่? พรรคประชาธิปัตย์จะมีบทบาทที่จะปฏิรูปสังคมได้อย่างไร จะพัฒนาการเมืองระดับรากหญ้าได้อย่างไร และควรจะมีบทบาทในรัฐบาล เพื่อทำงานตามวัตถุประสงค์จะได้ประโยชน์มากกว่าอยู่นอกรัฐบาล และกลายเป็นเสียงฝ่ายค้านที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย ใช่หรือไม่ ? ท่ามกลางวิกฤติปัจจุบัน ทุกภาคส่วนต้องช่วยกันแก้ไขปัญหา มิใช่ซ้ำเติมปัญหา และประชาธิปัตย์จะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาแห่งชาติ โดยร่วมจัดตั้งรัฐบาลหรือเป็นอิสระนอกรัฐบาล จึงเป็นประเด็นที่ควรพิจารณาด้วยความรับผิดชอบอย่างจริงจัง
ดร.วิชัย ตันศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี