“เลือกความสงบ...จบที่ลุงตู่” คือแคมเปญหาเสียงโค้งสุดท้ายของพรรคพลังประชารัฐ
ความสงบ...คือความหวัง โดยเฉพาะของชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง และ “สัญลักษณ์” พิเศษหลายประการที่ถูกส่งออกมา ส่งผลให้พื้นที่กรุงเทพมหานคร มีผลการเลือกตั้งที่ “พลิกความคาดหมาย” คือ พรรคอนาคตใหม่ได้ สส. ชนิดไม่คาดคิด และพลังประชารัฐ ยึดพื้นที่อิทธิพลเดิมของประชาธิปัตย์ได้เกือบหมด!!
ประชาธิปัตย์ยังคงอกสั่นขวัญแขวน และถกเถียงกันในพรรคจนบัดนี้ ว่าควรจะบริหารความนิยมของพรรคด้วย “หลักการ-อุดมการณ์” หรือควรบริหาร “ตามกระแส”
อย่างไรก็ตาม หลังการเลือกตั้ง ความขัดแย้งของประชาธิปัตย์ด้วยกันเองเป็นความขัดแย้งภายใน ที่มิได้ “กระทบกระทั่ง” อะไรกับภายนอกนัก เว้นเสียแต่คนภายนอกที่ส่วนมาก
“ไม่ได้เลือก” ประชาธิปัตย์ ยังตาม “รังควาน” บีบบังคับประชาธิปัตย์ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ให้ “เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล” กับพรรคพลังประชารัฐเสีย เพื่อที่ประเทศจะได้ไม่เจอทางตัน หรือที่เรียกกันอย่างฝรั่งว่า “เดดล็อก”
ในความเป็นจริง การเตรียมการผ่าน “คำถามพ่วง” ของรัฐธรรมนูญปี 2560 ด้วยการให้สมาชิกวุฒิสภา หรือ สว. มาร่วมโหวตนายกรัฐมนตรี พร้อมๆ กับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้น ถูกตีความว่า เป็นการป้องกัน “ทางตัน” ทางการเมืองเอาไว้แล้ว พร้อมๆ กับถูกพลิกแพลงใช้เพื่อ “ปิดล้อมทางการเมือง” กีดกันมิให้บางขั้วการเมือง “จัดตั้งรัฐบาล” ได้ด้วย เพราะในท้ายที่สุด การ “เคาะ” ว่าใครจะได้เป็น สว. อยู่ในการตัดสินใจของ คสช. ล้วนๆ
ขณะที่หัวหน้า คสช. อย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตอบรับการเป็น “ว่าที่นายกรัฐมนตรี” ของพรรคพลังประชารัฐ
พรรคพลังประชารัฐ จึงถูกมองว่า “ได้เปรียบ” พรรคอื่นๆในการแข่งขันครั้งนี้ และถูกมองจากบางคนบางกลุ่มด้วยว่า “เอาเปรียบ” ตั้งแต่เริ่มเดินสายชักชวนผู้คนเข้าพรรค ในขณะที่พรรคการเมืองอื่นๆ ยังถูก คสช. ห้ามเคลื่อนไหวทางการเมืองอยู่
มีการพูดถึงเงื่อนไขการชักชวน เช่น พูดถึงทุนช่วยเหลือในการเลือกตั้ง การใช้เครือข่ายของรัฐ และการแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ ช่วยให้โอกาสในการได้เป็น สส. มีมากกว่าคนอื่นๆ
ต่อมาก็ถูกจับตามองในเรื่อง “การระดมทุน” ผ่าน “โต๊ะจีน” ที่ในท้ายที่สุด ถูกยื่นเรื่องให้ตรวจสอบด้วย
และในช่วงการเลือกตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลงพื้นที่ตรวจงานและตรวจเยี่ยมประชาชนถี่ยิบ หลังวันเลือกตั้งแล้ว กิจกรรมเหล่านั้นไม่มีเลย ยกเว้นไปดูปัญหาไฟป่าที่เชียงใหม่เมื่อเร็วๆ นี้
ภาพรวมที่ว่า บางคนมองว่า “น่าเกลียด” บางคนก็เฉยๆ เสมือนว่า ใครมีโอกาสก็ทำทั้งนั้น
เมื่อผลการเลือกตั้งออกมา ปรากฏว่าจำนวน สส.ที่อาจจะได้ ระหว่างฝ่ายที่เรียกตัวเองว่า “ฝ่ายประชาธิปไตย” กับฝ่ายพลังประชารัฐ ใกล้เคียงกันมาก
อีกพวกรีบชิงพื้นที่ข่าวจัดตั้งรัฐบาล ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้จำนวน สส.ที่แน่ชัด เพื่อ “ตีกัน” สิทธิโดยชอบ ในการจัดตั้งรัฐบาล ในฐานะฝ่ายที่มีจำนวน สส. เยอะกว่า ขณะที่ฝ่ายพลังประชารัฐก็ไปอ้างคะแนน “ป๊อปปูลาร์โหวต” เพื่อกำหนดความชอบธรรม อันเป็นเรื่อง “ปลีกย่อย” ที่นำมาซึ่งการถกเถียง ขัดแย้ง กันอยู่พักใหญ่ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้น พรรคเพื่อไทย เคยส่งตัวแทนไปทำสัตยาบันร่วมกับพรรคการเมืองอื่นๆ โดยมีนายโคทม อารียา เป็นสักขีพยานว่า หลังการเลือกตั้ง พรรคการเมืองใดมีความสามารถในการรวบรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลได้ ก็มีสิทธิจัดตั้งรัฐบาล แม้ไม่ได้ชนะเป็นที่ 1 ก็ตาม
เช่นเดียวกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ก็มีอาการ “กลับคำ” จากที่เคยประกาศว่าไม่สนับสนุนคนที่ไม่ได้เป็น สส. เป็นนายกฯ ก็เปลี่ยนมาประกาศสนับสนุน คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ซึ่งมีแนวโน้มว่าพรรคเพื่อไทยจะไม่ได้ สส.แบบบัญชีรายชื่อเลย นั่นแปลว่าคุณหญิงสุดารัตน์จะไม่ได้เป็น สส. ขึ้นเป็นนายกฯ
ภาพรวมๆ ดังที่กล่าวมา บอกกับเราว่า “การเมืองเป็นเรื่องของการช่วงชิงโอกาส” ไม่ใช่เรื่องของกติกาหรืออุดมการณ์ที่แน่วแน่อะไร พรรคประชาธิปัตย์ที่พยายามวางหลักการอุดมการณ์ จึงดูเป็นพรรคประหลาดในสังคมแบบนี้ และกลายเป็นแรงสั่นสะเทือนจะคนในพรรคแตกออกเป็น 2 กลุ่มความคิด ว่าควรจะเป็นเหมือนพรรคการเมืองอื่นๆ เขา หรือควรจะเป็นหลักอย่างที่เราเคยเป็นมา 72 ปี ที่มีทั้งช่วงรุ่งเรืองและตกต่ำ ตามกระแสการเมืองภายในที่ต่างกันไปในแต่ละช่วง
อย่างไรก็ดี แคมเปญ “เลือกความสงบ...จบที่ลุงตู่” เป็นแคมเปญที่ไม่มีผลกับฝ่ายตรงข้าม คือ พรรคเพื่อไทย ทว่าเป็นแคมเปญที่คิดมา “ฆ่า” ประชาธิปัตย์ในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะ
แต่ผลพลิกกลับเล็กๆ ที่ต้อง “อ่านให้ออก” คือ บางส่วนหันไปโหวตพรรคอนาคตใหม่ เพื่อ “ต้านลุงตู่” เพราะลุงตู่อยู่ในอำนาจนานเกินไปและมิได้ “แก้ไขปัญหาหลายอย่างให้ลุล่วง” ซ้ำยังใช้โอกาสที่อยู่ในอำนาจ เขียนกฎหมายปูทางให้ตนเองได้เปรียบคนอื่นๆ ในการแข่งขันด้วย จึงเป็นที่มาของคำว่า “สืบทอดอำนาจ” ที่หากไม่อธิบายให้ชัด มิตรรักแฟนเพลงฝ่ายลุงตูก็จะ “เดือดแค้น” และถกเถียงว่า ลุงตู่ไม่ใช่เผด็จการ ลุงตู่ไม่ได้สืบทอดอำนาจ ลุงตู่แข่งขันในกติกาเหมือนทุกๆ คน
ผมคิดว่า ประชาชนคนไทยก็ไม่ต่างอะไรจากการเมืองไทย คือพร้อมจะ “เข้าข้าง” ฝ่ายตนเองเสมอ ฝ่ายเดียวกันคือ “คนดี” ทำอะไรก็ไม่ผิด อันนี้แหละคือ “ภัยของบ้านเมือง”
มันจะนำไปสู่การช่วงชิงอำนาจ เพื่อช่วงชิงโอกาสที่จะนิยามว่า “ฉันคือความถูกต้อง ฉันคือคนดี”
การพยายามจะเอาชนะกันโดยไม่วางกติกาที่เป็นธรรม เพื่อนำไปสู่การยุติด้วยกติกาที่ดีนั้น จึงไม่เคยเกิด แต่ปรากฏในสภา “ใครชนะ คนนั้นถูก คนนั้นดี คนนั้นเป็นที่ยอมรับได้ของ
คนส่วนใหญ่ = ประชาธิปไตย”
ในการ “ต่อสู้กันทางการเมือง” รอบนี้ เราจึงเห็นสิ่งที่มากกว่าการแข่งขันกันทางการเมืองอย่างปกติ แต่มีสัญลักษณ์ของสถาบันนอกวงการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้เกิด “แรงหนุน-แรงต้าน” ที่แข็งกร้าวต่อกันมากกว่าการเมืองที่เคยผ่านมา
นอกจากเงื่อนไข ฝ่ายประชาธิปไตย-ฝ่ายเผด็จการ, รุ่นเก่า-รุ่นใหม่ และคนดี-คนชั่ว แล้ว ยังมีการใช้เงื่อนไข “คนจงรักภักดี” กับพวก “ไม่จงรักภักดี” และ “เป็นภัยต่อสถาบัน” เข้ามาสู่วงแห่งความขัดแย้งด้วย
2 เมษายน 2562 ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง โพสต์เฟซบุ๊คชวนคิดว่า
“ก่อนเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 มีผู้นำสถาบันระดับสูงมากล่าวหาปลุกปั่น จนเกิดการแบ่งแยก เกลียดชัง ในที่สุดเกิดความรุนแรง ในช่วงเช้าของวันที่ 6 ตุลาคม 2519 มีการล้อมนักศึกษาที่ชุมนุมและถูกกล่าวหา มีการรวมตัวของชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรงปราบปรามอย่างโหดเหี้ยมทำให้มีผู้ถูกทำร้ายและเสียชีวิตจำนวนมาก นำมาซึ่งการรัฐประหารในคืนวันที่ 6 ตุลาคม 2519 อีกครั้งหนึ่ง
กระแสสังคมในโซเชียลมีเดียและสื่อมวลชน ที่โจมตีเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ อาจารย์ปิยบุตร แสงกนกกุล โดยนำสถาบันระดับสูงมาเกี่ยวข้อง จึงเป็นสิ่งที่น่าระวังและเป็นอันตรายต่อความสุขสงบและไม่เป็นผลดีต่อสถาบัน
หากทุกฝ่ายหยุดนำสถาบันระดับสูง มาวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวข้องทางการเมือง น่าจะเป็นผลดีทั้งต่อสถาบันที่เราเคารพรักและเป็นผลดีต่อสังคมโดยส่วนรวม...”
3 เมษายน 2562 “นายไพศาล พืชมงคล” กรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ โพสต์เฟซบุ๊คว่า
“การเลือกตั้ง คือการต่อสู้กันทางการเมือง ระหว่างฝ่ายที่มีอำนาจ กับฝ่ายต้องการเข้ามามีอำนาจ เป็นผลประโยชน์ของพรรคการเมืองและนักการเมือง ดังนั้นคนไทยจึงต้องรู้เท่าทัน! อย่าหลงผิดว่า เป็นการต่อสู้กันระหว่าง “ประชาชนที่มีความจงรักภักดี” กับ “ประชาชนที่ไม่มีความจงรักภักดี”
เพราะนั่นคือการ “ดึงฟ้าต่ำ ทำหินแตก แยกแผ่นดิน” ซึ่งเป็นการปลุกปั่นให้คนไทยเกลียดชังกันและให้ฆ่ากันเอง เพื่อนำไปสู่สงครามกลางเมือง
ความแตกแยกรุนแรงขณะนี้เกิดขึ้นเพราะมีการบิดเบือนว่า ถ้าเลือกฝ่ายนี้ เป็นผู้จงรักภักดี ถ้าเลือกฝ่ายโน้นเป็นผู้ไม่จงรักภักดี ซึ่งเป็นอันตรายอย่างร้ายแรง
การผลักไสประชาชนร่วม 15 ล้านคนให้กลายเป็นผู้ไม่จงรักภักดีนั้น แท้จริงคือการบ่อนทำลายสถาบัน ที่ใครก็ตามหากมีความจงรักภักดีจะต้องไม่ทำเด็ดขาด”
4 เม.ย.2562 ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต และอดีตประธานรัฐสภา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค Arthit Ourairat ว่า
“...ผมคิดว่าเรากำลังหลงประเด็นและผิดประเด็นในการต่อสู้โจมตีกันทางการเมือง
ประเด็นการเมืองตอนนี้ไม่น่าใช่ : ทหาร- พลเรือน, เผด็จการ-ประชาธิปไตย, ประยุทธ์-ทักษิณ, สืบทอดอำนาจ-ไม่สืบทอดอำนาจ, ล้มเจ้า-ไม่ล้มเจ้า, คนรุ่นใหม่-คนรุ่นเก่า
แต่น่าจะเป็น : ปฏิรูป-ไม่ปฏิรูปประเทศ, คอร์รัปชั่น-ไม่คอร์รัปชั่น, บริหารได้ผลดี-บริหารไม่ได้ผลดี, บริหารเพื่อนายทุนพวกพ้อง-บริหารเพื่อประชาชนยากจนส่วนใหญ่, มีธรรมาภิบาล-ไม่มีธรรมาภิบาล
ถ้าตั้งโจทย์ผิด เราก็ไม่ได้คำตอบที่ถูก
อย่าเสียเวลาไปมากกว่านี้เลย ชีวิตเราเหลือน้อยกันเต็มทีแล้ว
ตั้งเป้าหมายให้ถูก ตั้งโจทย์ให้ถูก ตั้งประเด็นให้ถูก
ว่าเราต้องการอะไร?...”
สำหรับผม ทั้ง 3 ท่านที่อ้างถึงนี้ เป็น “ผู้หลักผู้ใหญ่” ของบ้านเมือง ได้ออกมาให้ “หลักคิด” แก่คนในบ้านในเมือง ซึ่งหากไตร่ตรองกันให้ดีและนำไปปฏิบัติอย่างพร้อมเพรียงกัน บ้านเมืองที่เต็มไปด้วยความสุ่มเสี่ยงเรื่องการเผชิญหน้า ก็จะทุเลาความเสี่ยงลงได้
ทหารควรออกมาแสดงตนเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมืองให้น้อยลง สถาบันเบื้องสูงไม่ควรถูกใครอ้างถึงบ่อยๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ความผิดเฉพาะตน เช่น ทัศนคติของนายปิยบุตร แสงกนกกุล การหาเสียงด้วยแคมเปญ “สานต่อภารกิจ 2475” ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ มีสิทธิถูกตรวจสอบ ซักถาม หรืออาจถึงขั้นดำเนินคดี หากเข้าข่ายความผิดในกฎหมายใดก็ตาม แต่ไม่ควรถูกปลุกปั่นเพื่อสร้างความเกลียดชังต่อกัน และสร้าง “กองทัพตัวแทน” ขึ้นมารบกัน ทั้งในโลกออนไลน์และโลกแห่งความจริง
บ้านเมืองของเรายังไม่สงบ แถมยังดูว่า “ไม่ปลอดภัย” เพราะเราต่างใช้ “ทุกเครื่องมือ” เข้าห้ำหั่นกัน หาแต่คำตอบว่า “ใครจะชนะ” มากกว่าหาคำตอบว่า “จะอยู่ร่วมกันอย่างไร” ใครคิดต่าง เป็นภัย เป็นคนเลว เป็นคนไม่มีความภักดี เลยเถิดไปถึงว่า ถ้าประชาธิปัตย์ไม่เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพลังประชารัฐ แปลว่าไม่เป็นห่วงชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และดูเหมือนประชาธิปัตย์บางส่วนจะ “โดยสารกระแสนี้” เรียกร้องการเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล คานกับฝ่ายที่คิดว่า ประชาธิปัตย์ควรเป็น “ฝ่ายค้านอิสระ” เพื่อยืนยันว่า ทางออกของประเทศ ไม่ใช่การเผชิญหน้ากัน แต่เป็นทางที่ควรพร้อมใจกัน มุ่งไปสู่การ “ขจัดปัญหา” ของประชาชน ไม่ใช่ปัญหาของใครคนใดคนหนึ่ง ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือมุ่ง “ขจัดกันเอง” ภายในประเทศ ซึ่งไม่มีวันหมด แต่จะเพิ่มพูนความขัดแย้งและการเผชิญหน้าที่รุนแรงยิ่งขึ้น
เพื่อหักเลี้ยวบ้านเมืองสู่ “ความปลอดภัย” เราลอง “ฝัน” ไปกับ พ.ท.นพ.ภาคย์ โลหารชุน ผบ.พัน.สร.3 เจ้าของฉายา “มนุษย์ที่แกร่งที่สุดในปฐพี” ที่ล่าสุดได้โพสต์ข้อความแสดงความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมืองว่า
“...ผมกำลังใฝ่ฝันถึงอนาคต เห็นคนไทยทุกคนรักสามัคคีกันแม้จะคิดเห็นต่างกันสุดขั้วยังไง ก็ยังรักกัน รับฟังความเห็นมุมมองที่แตกต่างของกันและกัน และนำจุดดีของแต่ละฝ่ายมาใช้ร่วมกัน ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
...นักการเมือง ข้าราชการ และทุกๆ องค์กร ไม่คอร์รัปชั่น ไม่โกงกิน ไม่เห็นแก่ตน มีความละอายที่จะเอาเงินหรือผลประโยชน์ต่างๆ เข้าตัว แม้เงินแค่บาทเดียวแต่มีที่มาไม่ถูกต้องก็ละอายไม่กล้า
ที่จะเอาเป็นของตนเองได้ “ผมว่าประเทศไทยเราคงเป็นประเทศที่ดัชนีมวลรวมความสุข ขึ้นเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ผู้คนก็อยู่ดีมีสุข เงินทองก็ไม่รั่วไหล สวัสดิการก็กระจายไปทั่วถึงอย่างเหมาะสม” เริ่มต้นจากความรัก ความสามัคคี อะไรๆ ที่ตามมาย่อมดีแน่ เริ่มต้นจากแบ่งแยก เอาชนะ อะไรๆ ที่อยากจะได้คงต้องแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ไปตามดีกรีความขัดแย้ง
...คาถาท่องในใจ รักประเทศไทย รักกันไว้ ให้อภัย เปิดใจฟังความเห็นต่างบ้าง เอาส่วนที่เป็นประโยชน์จริงๆ มาใช้ ไม่มีใครฉลาดหรือโง่กว่าใคร เหตุและผลแต่ละคนมันเกิดจากประสบการณ์ที่แต่ละบุคคลได้พบประสบและสะสมมา มันย่อมไม่เหมือนกัน ยิ่งทำให้ทุกคนรักกัน ยิ่งทำให้ทุกคนสามัคคีกัน คือ พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่และแท้จริงของประเทศชาติ
...ปล.คนที่อยู่รอบตัวผม มีทุกอาชีพ มีแนวร่วมทุกพรรคการเมือง ผมก็เคารพความคิดเห็นของทุกคน และ รักทุกคนแม้บางคนจะมีแนวคิดที่สุดโต่ง แต่เขาก็คือเพื่อน คือพี่ คือน้อง คือคนไทยด้วยกัน ผมก็ยังคงฝันต่อไปทุกวันจนกว่ามันจะเป็นจริง”
จงช่วยกันทำให้ “บ้านเมืองปลอดภัย” ก่อน “การเมืองฝ่ายฉันปลอดภัย” ก่อนดีไหมครับ?!?!?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี