6 เมษายน นอกจากเป็นวันจักรีแล้ว ยังเป็นวันครบรอบ 73 ปีของการสถาปนาพรรคประชาธิปัตย์ พรรคการเมืองที่
เก่าแก่ที่สุด เป็นสถาบันทางการเมืองอยู่คู่ระบอบประชาธิปไตยไทยมายาวนานที่สุด
สถานการณ์แตกแยก แบ่งขั้วของคนไทย ระหว่าง “ขั้วสืบทอดอำนาจระบอบทักษิณ” กับ “ขั้วสืบทอดอำนาจทหาร” ทำให้ประชาชนคนไปเลือกตั้ง (น้อยกว่า 70%) ถูกผลักด้วยอารมณ์หวาดกลัว และอารมณ์จะเอาชนะ คะแนนจึงไปกระจุกอยู่ที่พรรคเพื่อไทย (ตัวแทนระบอบทักษิณ) และพรรคพลังประชารัฐ (ตัวแทนอำนาจทหาร)
พรรคประชาธิปัตย์ที่มีจุดยืนอุดมการณ์ ไม่ยอมรับระบอบทักษิณและระบอบสืบทอดอำนาจทหาร ก็ต้องรับผลพวงของการเลือกตั้งที่คนไทยจำนวนมากให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ด้วยความกลัวว่าอีกฝ่ายจะชนะ จึงต้องทิ้งพรรคที่เคยเลือก หรือพรรคที่เน้นแก่นสารของงานนโยบายที่จะนำพาประเทศ จึงได้จำนวน สส.มาน้อยกว่า 60 ที่นั่ง
คนในพรรคประชาธิปัตย์ อดีต สส. ว่าที่ สส. และกรรมการบริหารพรรค ก็มีความรู้สึกไม่ต่างอะไรกับคนทั่วไป ซึ่งมีทั้ง “ความกลัว” “ความอยาก” ที่ผลักดันให้ต้องเคลื่อนไหว จับกลุ่ม เรียกร้องกดดัน
แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่า การออกแบบการเลือกตั้ง การจัดตั้งรัฐบาล เป็นการเอารัดเอาเปรียบพรรคการเมืองอื่นๆ เพราะออกแบบให้มี สว. 250 คน จำนวนมากพิเศษ มีอำนาจเลือกนายกฯ เป็นพิเศษ ถ้าเขียนในรัฐธรรมนูญได้ว่า ให้ใครเป็นนายกฯ และให้พรรคใดเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ ก็คงทำไปแล้ว
แม้จะรู้อยู่เต็มอก ว่ามีกระบวนการดูดผู้สมัคร สส. และผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ต่างๆ และใช้อำนาจรัฐ ไม่ต่างกับระบอบทักษิณเคยทำมา
แต่คนของพรรคประชาธิปัตย์ บางคนในกลุ่มของคนอยากร่วมรัฐบาล ก็ออกมาอธิบายให้ดูดี ว่าการเข้าร่วมไม่ได้ทำผิดอุดมการณ์ ไม่ได้สนับสนุนเผด็จการ เพราะพลเอกประยุทธ์ เข้ามาตามเส้นทางรัฐธรรมนูญ แต่ไม่พูดต่อว่ารัฐธรรมนูญได้ถูกวางไว้อย่างไร? โดยใคร? และทำไม สว.จึงมีที่มาและบทบาทขนาดนี้?
คนในกลุ่มที่อยากร่วมรัฐบาลพยายามหาเหตุผลในทางปฏิบัติว่า จะได้นำนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ไปใช้ ทั้งๆ ที่ ก็ไม่มั่นใจว่านโยบายเข้ากันได้กับพรรคแกนนำ คือ พปชร. ที่เน้นประชานิยม จำนำข้าว ค่าแรงขั้นต่ำสูง เงินเดือนสูง เป็นต้น
บ้างก็ออกมาชักจูงให้คิดว่า การเข้าร่วมรัฐบาลไม่ได้ผิดอุดมการณ์ ไม่ใช่สนับสนุนเผด็จการ ไม่สนับสนุนผู้สืบทอดอำนาจ นายอภิสิทธิ์ลาออกจากหัวหน้าพรรคแล้ว การพูดของท่านไม่ได้พูดจากมติของที่ประชุมพรรค ไม่อยากขัดคอหัวหน้าพรรคในช่วงก่อนเลือกตั้ง
“ความอยาก” และ “ความกลัว” ทำให้หาเหตุผล และให้น้ำหนักกับสิ่งที่หยิบยกขึ้นมาอธิบายเป็นพิเศษ และก็หวังจะได้ความเห็นใจจากคนทั่วไป
การออกมารวมกลุ่ม ปรึกษาหารือ 2 ครั้ง และการแถลงข่าว สะท้อนว่า ส่วนลึกก็เกรงจะเป็นเสียงข้างน้อย เพราะประวัติศาสตร์วัฒนธรรมของประชาธิปัตย์ 73 ปี มันฝังลึก มั่นคง กับผู้หลักผู้ใหญ่ของพรรค
หรือว่าการออกมาเคลื่อนไหว ก็เป็นการแสดงออก กดดัน ว่าหากไม่ประสบความสำเร็จ นำพรรคไปร่วมรัฐบาลไม่ได้ ก็จะเป็น “งูเห่าสีฟ้า”
การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า (ที่คนไทยนิยม) กับการคิดถึงระบบระยะยาว ไม่มีถูก ไม่มีผิด สำคัญทั้งคู่ อยู่ที่เราจะให้น้ำหนักเรื่องใด ประเด็นใดมากกว่ากัน ก็ขึ้นอยู่กับภูมิหลังและประสบการณ์ของกลุ่มคนนั้นๆ
เราพอรวบรวมเหตุผลและการให้ความสำคัญ (น้ำหนัก) ของแต่ละฝ่าย ว่าพรรคประชาธิปัตย์ควรเข้าร่วมรัฐบาลในขณะนี้หรือไม่ ดังนี้
เหตุผลของฝ่าย ปชป. ที่อยากเข้าร่วมรัฐบาล
1. เคยร่วม กปปส. สู้รบกับระบอบทักษิณ ขณะนี้สงครามยังไม่เสร็จสิ้น
2. ทางเลือกที่จะไม่เอาระบอบทักษิณและไม่เอาสืบทอดอำนาจทหาร คือ ปชป. เป็นแกนนำหมดไปแล้ว จึงเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดในยามนี้
3. ถ้าไม่เข้าร่วมจะถูกกล่าวหาว่าทำให้รัฐบาลประยุทธ์เดินได้ลำบาก
4. หากมีการยุบสภาก็ต้องเหนื่อยอีก เสียค่าใช้จ่ายอีก ขณะนี้ก็ได้เป็น สส.แล้ว (กำขี้ดีกว่ากำตด)
5. หวังจะได้นำนโยบายไปช่วยชาวไร่ ชาวนา ชาวสวนยาง ปาล์ม
6. คนรู้จักที่ปันใจไปเลือกพลังประชารัฐ หรือย้ายไปอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ ชักชวนเรียกร้องกดดัน
เหตุผลของฝ่ายที่ไม่เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล
1. คะแนนสี่ล้านเสียงของประชาชนที่เลือก ปชป. เป็นคะแนนที่บอกว่าไม่เอาระบอบทักษิณ และไม่เอาพรรคสืบทอดอำนาจทหาร
ถ้าเขาอยากให้ ปชป. ไปร่วมกับ พปชร. เขาก็เลือก พปชร. แต่แรกแล้ว
2. ปชป. เป็นพรรคเก่าแก่ เป็นสถาบันในระบอบประชาธิปไตย ไม่ควรสนับสนุนนายกฯที่สืบทอดจากอำนาจทหารโดยเฉพาะเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหาร (คสช.)
3. ปชป. ไม่เข้าไปร่วม พปชร.ก็สามารถตั้งรัฐบาลได้อยู่แล้ว เพราะมีสมาชิกวุฒิสภา 250 คน เสมือน
พรรคใหญ่สนับสนุน
ปชป.จะไปร่วมหรือไม่ร่วม ไม่ได้ทำให้พลเอกประยุทธ์จัดตั้งรัฐบาลไม่ได้
4. พรรคประชาธิปัตย์จะถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกกะล่อน เขี้ยวลากดิน หัวหน้าพรรคเคยพูดไว้ว่าไม่สนับสนุนให้พลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯต่อไปอีก แต่เมื่อหัวหน้าพรรคลาออก กรรมการบริหารพรรคก็กลับมติเปลี่ยนจุดยืนได้ในการเลือกตั้งครั้งเดียวกัน
5. ประชาธิปัตย์รุ่นใหม่ (New Dem) และยุวประชาธิปัตย์ จะสับสนถึงจุดยืนและอุดมการณ์ของพรรค หลายคนเข้ามาเพราะไม่เอาระบอบทักษิณ และไม่อยากเห็นทหารเข้ามาทำงานการเมือง
6. การประกาศที่จะทำงานเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ โดยไม่เข้าร่วมเป็นฝ่ายบริหารและไม่เข้าร่วมกับฝ่ายค้าน ประกาศเป็นฝ่ายอิสระสนับสนุนฝ่ายบริหาร ถ้าทำดีและเห็นด้วยแต่จะคัดค้านหากทำไม่ดีและเป็นภัยต่อบ้านเมือง (เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายตรวจสอบ ที่ไม่ใช่เป็นฝ่ายค้านลูกเดียว)
สังคมไทยไม่ให้ความสำคัญของฝ่ายตรวจสอบ
(ฝ่ายค้าน)
1. ดูได้จากการแย่งชิง ดูด ดึง “งูเห่า” เพื่อแย่งชิงจัดตั้งรัฐบาล สะท้อนสังคมนิยมอำนาจเพื่อควบคุมงบประมาณ คุมข้าราชการเจ้าหน้าที่ จนมีคนพูดว่า “เป็นฝ่ายค้านอดอยากปากแห้ง”
2. สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ พรรคฝ่ายค้านไม่เห็นความสำคัญ และไม่มีผู้นำฝ่ายค้านในสภา
3. วุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญปี 2540 ออกแบบมาให้เป็นฝ่ายตรวจสอบอิสระ แต่ในที่สุด ก็กลายเป็นวุฒิสภาสายรัฐบาล แอบเข้าร่วมกับรัฐบาล
4. ความจริง ประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา ถูกออกแบบมาให้มีฝ่ายนิติบัญญัติออกกฎหมายควบคุมการทำงานของฝ่ายบริหาร ฝ่ายค้านทำหน้าที่ตรวจสอบฝ่ายบริหาร ซึ่งทำประโยชน์ได้มาก หากตรวจสอบจริง ตรงไปตรงมา ดีก็ว่าดี ไม่ดีก็จัดการตามอำนาจหน้าที่
5. ประชาชนยอมสละรายได้จ่ายภาษีให้เป็นเงินเดือนฝ่ายตรวจสอบ หรือฝ่ายค้าน เดือนหนึ่งหลายพันล้านบาท แต่น่าเสียใจ คนดีมีคุณภาพไม่ค่อยสนใจ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ไฟแรง หากได้ทำงานเป็นฝ่ายตรวจสอบ เรียนรู้ระบบและการทำงานก่อนเป็นฝ่ายบริหาร ก็จะช่วยประเทศได้มาก ดีกว่าสุ่มเสี่ยงไปบริหารให้ข้าราชการเขี้ยวครอบงำ
ปีที่ 74 ประชาธิปัตย์จะเป็น “งูเห่า” หรือ “Power Bank”
น่าสนใจที่จะติดตาม ว่าพรรคเก่าแก่ที่เป็นสถาบัน มีวัฒนธรรมในระบบเสรีนิยมประชาธิปไตยมายาวนาน
จะใส่ใจที่จะทำประโยชน์เฉพาะหน้า ด้วย “ความอยาก” และ “ความกลัว” โดยเป็น “งูเห่า” กันทั้งพรรค
หรือจะยินดีเป็น “Power Bank” ในขณะที่รัฐบาลประยุทธ์ยังมี Power จากพรรคร่วม พปชร. และวุฒิสภาอีก 250 คน
คนที่ใช้ Power Bank เสียบก้นโทรศัพท์ที่ยังมีแบตเตอรี่มากพอทำงานได้ จะเรียกว่าคนประเภทไหน?
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี