เมื่อวานนี้ พรรคเพื่อไทยออกแถลงการณ์ เรื่อง “กรณีปัญหาการคำนวณสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ” เนื้อหาอธิบายวิธีคำนวณ สส.ปาร์ตี้ลิสต์ พร้อมรวบรัดตัดตอนว่า แบบที่ตนเองอธิบายนี้ต่างหาก คือ วิธีการที่ถูกต้องตามกฎหมาย อ้างว่ากฎหมายไม่มีช่องทางใดให้พรรคการเมืองที่มีคะแนนต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 71,065 คะแนน ได้รับจัดสรร สส.บัญชีรายชื่อ แถมข่มขู่ กกต. ว่าจะไปใช้วิธีการคำนวณที่แตกต่างจากตนเองไม่ได้ ไม่ถูกต้อง
1. น่าสังเกตว่า ที่ผ่านมา พรรคการเมือง นักวิจารณ์การเมืองหน้าจอสำนักข่าวต่างๆ ได้ออกมาแสดงความเห็นถึงวิธีการคำนวณ สส.บัญชีรายชื่อกันโครมคราม แล้วก็วิพากษ์วิจารณ์กันต่อเองว่า มันแสนสับสน ไม่ชัดเจน เพราะมีการคำนวณจำนวน สส.ได้จำนวนแตกต่างกัน
บางพรรค ได้น้อยลง ก็โวยวาย
บางพรรค เห็นพรรคแนวร่วมได้น้อย ก็โวยวาย
บางคนออกหน้าจอวิจารณ์ อวดภูมิความรู้ โดยไม่ได้คำนวณตามขั้นตอนที่กฎหมายเขียนไว้ แต่อ้างว่าเพื่อความเป็นธรรม ตามหลักการ สำคัญกว่ากฎหมาย จะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
วิธีการเช่นนี้ คล้ายเป็นพยายาม “ปักหมุด” กระแสข่าวให้สังคมเกิดความรู้สึกเอาไว้ก่อนว่า วิธีการคำนวณมีหลายวิธี เป็นการเลือกตั้งที่สับสน วุ่นวาย เปลี่ยนแปลงผลไป-มา ฯลฯ
ทั้งๆ ที่ กกต.ยังไม่ประกาศผลการคำนวณ สส.บัญชีรายชื่อเลย
และยืนยันมาตลอดว่า วิธีคำนวณมีสูตรอยู่แล้ว ตามกฎหมายที่บัญญัติไว้เป็นข้อๆ และตามแนวทางที่ กรธ.นำแสดงไว้เป็นแนวทางตัวอย่าง ตั้งแต่ปี 2561 ก่อนที่แต่ละพรรคจะทราบผลคะแนนเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการครั้งนี้ด้วยซ้ำ
2.ในความเป็นจริง ยังมีปัจจัยที่จะส่งผลต่อการคำนวณ สส.บัญชีรายชื่ออีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ใบเหลือง ใบส้ม ใบแดง ตลอดจนจำนวนเขตที่ประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ล้วนแต่จะมีผลต่อคะแนนรวม มีผลต่อคะแนนที่แต่ละพรรคได้รับ และมีผลต่อสัดส่วน สส.พึงมี รวมไปถึงการคำนวณปันส่วน สส.บัญชีรายชื่อต่อไปทั้งสิ้น เพราะจะต้องมีการคิดสัดส่วนตามคะแนนจริง จะมีการปรับค่ามิให้จำนวน สส.เพี้ยนไปจากที่ประกาศรับรองผลจริงๆ มันจึงต้องรอดูว่า สุดท้าย กกต.ประกาศรับรองผลกี่เขต อย่างไร?
แม้แต่ตัวเลขที่อ้างๆ กัน คือ 71,065 คะแนน ก็ยังไม่แน่เลยว่าเอาเข้าจริง จะเป็นเท่าใด
(ขอบคุณ กราฟิก นสพ.ฐานเศรษฐกิจ)
3. ในแง่ของการคำนวณโดยคาดการณ์จากคะแนนที่ปรากฏในวันนี้ปรากฏว่า เฟซบุ๊คPraipol Koomsup ของอาจารย์ พรายพล คุ้มทรัพย์ได้นำเสนอข้อเขียนไว้ว่า “สส. บัญชีรายชื่อคำนวณอย่างไร” โดยใช้วิธีการคำนวณตามขั้นตอนกฎหมาย ซึ่งเมื่อไล่ดูรายละเอียดแล้วน่าจะเป็นไปตามแนวทางที่ กรธ.เคยนำเสนอตัวอย่างไว้บนเว็บไซต์ ตั้งแต่ปี 2561 เนื้อหาใจความสำคัญที่น่าสนใจบางส่วน ดังนี้
“..ระบบการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในรัฐธรรมนูญปี 2560 เป็นระบบสัดส่วนผสม หรือ mixed member proportionalsystem ซึ่งกำหนดให้มีสมาชิกทั้งหมดจำนวน 500 คน โดยมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 350 คน และเป็นแบบบัญชีรายชื่ออีก 150 คน
ผู้ออกเสียงลงคะแนนเพื่อเลือก สส. แบ่งเขต แล้วนำเอาคะแนนของทุกเขตมารวมเป็นคะแนนของแต่ละพรรคเพื่อหาสัดส่วนว่าแต่ละพรรคจะ “พึงมี” สส. ได้กี่คนจากจำนวนทั้งหมด 500 คน
หากพรรคใดได้จำนวน สส. แบ่งเขตน้อยกว่าจำนวน สส. ที่พรรคจะพึงมี ก็จะได้รับการจัดสรรเพิ่มจำนวน สส. แบบบัญชีรายชื่อเพื่อให้รวมกันเท่ากับจำนวน สส. ที่พรรคจะพึงมี
แต่ถ้าได้จำนวน สส. แบ่งเขตมากกว่าหรือเท่ากับจำนวนที่จะพึงมี ก็จะไม่ได้รับการจัดสรรเพิ่มจำนวน
วัตถุประสงค์หลักของระบบการเลือกตั้งนี้ก็เพื่อให้จำนวน สส. ของแต่ละพรรคมีสัดส่วนที่สะท้อนคะแนนเลือกตั้งให้มากที่สุดนั่นเอง เช่น พรรคใดได้คะแนนเสียงเป็น 10% ของการออกเสียงทั้งหมด (คือ 10% ของ 35.5 ล้านเสียง หรือ 3.55 ล้านเสียง)ก็ควรมี สส. รวมจำนวน 50 คน (10% ของ 500 คน)
ในฐานะที่ผมเป็นผู้ศึกษาและติดตามระบบการเลือกตั้งแบบนี้มาโดยตลอด ตั้งแต่มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ผมได้ลองคำนวณหาจำนวน สส. บัญชีรายชื่อโดยอิงกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ และอาศัยข้อมูลที่ กกต. ได้เผยแพร่ไว้ในเว็บไซต์ อันได้แก่ ข้อมูลแสดงคะแนนเสียงรวมและจำนวน สส. แบ่งเขตที่พรรคการเมืองต่างๆ ได้รับในการเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคม 2562 ดังมีรายละเอียดปรากฏในตารางที่ 1 (คอลัมน์ที่ 2 และ 4)…
....สรุปได้ว่า พรรคการเมืองที่มีจำนวน สส. รวมมากที่สุด คือ พรรคเพื่อไทยซึ่งมี 137 คน พรรคพลังประชารัฐ มี สส. มากเป็นอันดับสอง คือ 116 คน พรรคอนาคตใหม่มี 80 คน พรรคประชาธิปัตย์ มี 52 คน พรรคภูมิใจไทย มี 51 คน พรรคเสรีรวมไทยและพรรคชาติไทยพัฒนา ได้พรรคละ 10 คน พรรคเศรษฐกิจใหม่ มี 7 คน พรรคประชาชาติ มี 6 คน พรรคเพื่อชาติและพรรครวมพลังประชาชาติไทยมีพรรคละ 5 คน พรรคชาติพัฒนา มี 3 คน พรรคพลังท้องถิ่นไท มี 3 คน พรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย มี 2 คน
ส่วนพรรคการเมืองที่มี สส. เพียงคนเดียวมีถึง 13 พรรค ได้แก่ พรรคพลังปวงชนไทย พรรคพลังชาติไทย พรรคประชาภิวัฒน์ พรรคพลังไทยรักไทย พรรคไทยศรีวิไลย์ พรรคประชานิยม พรรคครูไทยเพื่อประชาชน พรรคประชาธรรมไทย พรรคประชาชนปฏิรูป พรรคพลเมืองไทย พรรคประชาธิปไตยใหม่ พรรคพลังธรรมใหม่ และพรรคไทรักธรรม
สังเกตได้ว่า พรรคเพื่อไทยมี สส. รวมมากถึง 137 คน ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่าจำนวน สส. พึงมีอยู่ 26 คน (หรือมี overhanging seats 26 ที่นั่ง) เป็นเหตุให้พรรคอื่นๆ ส่วนใหญ่มี สส. รวมน้อยกว่าจำนวน สส. ที่พึงจะมี พรรคที่ถูกลดทอนจำนวน สส. ลงมากที่สุดคือ พรรคอนาคตใหม่ ซึ่งมีจำนวน สส. รวม 80 คนเมื่อเทียบกับจำนวนที่พึงมี 88 คน จึงถูกลดทอนลงไปถึง 8 คน
ข้อสังเกตอีกข้อหนึ่ง คือ การปรับจำนวน สส. บัญชีรายชื่อ ได้ทำให้พรรคการเมืองเล็กๆ บางพรรคสามารถได้รับการจัดสรร สส. บัญชีรายชื่อเป็นจำนวน 1 คน ทั้งๆ ที่มีผู้ลงคะแนนเสียงให้ไม่ถึง 70,000 คน ซึ่งเป็นจำนวนคะแนนเสียงขั้นต่ำที่ทำให้พรรคหนึ่งมีสิทธิได้รับการจัดสรร สส. บัญชีรายชื่อ 1 คน (ผู้ออกเสียงรวม 35.5 ล้านคนหารด้วย สส. 500 คน = 71,000 เสียง) ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะวิธีการปรับจำนวน สส. บัญชีรายชื่อด้วยการปัดเศษทศนิยมตามที่อธิบายมาเปิดโอกาสให้พรรคเล็กพรรคน้อยมี สส. เพียง 1 คนเข้าไปนั่งในสภาได้ง่าย (คราวนี้มีมากถึง 13 พรรค) ในบางประเทศที่ใช้ระบบการเลือกตั้งแบบนี้ได้กำหนดให้พรรคการเมืองต้องได้คะแนนเสียงขั้นต่ำจำนวนหนึ่ง (เช่น อย่างน้อย 1% ของเสียงทั้งหมด) จึงมีสิทธิ์ได้รับการจัดสรร สส. บัญชีรายชื่อ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้มีพรรคเล็กๆ ในสภามากเกินไป
ผมขอย้ำว่า ผลการคำนวณข้างต้นเป็นไปตามกฎกติกาที่ผมเข้าใจเกณฑ์ในรัฐธรรมนูญเท่านั้น และผมสังเกตว่าผลที่ผมคำนวณได้ก็ตรงกันกับผลการคำนวณบางชุดที่ได้เผยแพร่ในสื่อมวลชนบางฉบับแล้ว เราจึงคงต้องรอต่อไปว่าสุดท้ายแล้ว กกต. มีสูตรการคำนวณและผลการคำนวณอย่างไร….”
แต่ทั้งหมดนี้ ก็ยังคำนวณจากคะแนนล่าสุด ซึ่งสุดท้าย ยังต้องรอว่า กกต.จะประกาศรับรองผลการเลือกตั้งกี่เขต? จะเกิน 95% (333 เขต) มากน้อยแค่ไหน? กฎหมายกำหนดชัดเจนด้วยว่าคะแนนของพรรคในเขตที่ได้ใบส้มห้ามนำมาคำนวณอีกต่างหาก? จำนวน สส.บัญชีรายชื่อ ที่จะนำมาคำนวณจัดสรรที่จะไม่ทำให้สัดส่วนเพี้ยนเป็นเท่าใด? ฯลฯ
ท้ายที่สุด คนที่ต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย คือ กกต.
ระหว่างนี้ สังคมไม่ควรสนับสนุนความพยายามของคนบางกลุ่ม ที่พยายามปักหมุด โจมตีการเลือกตั้งว่าเป็นโมฆะ เพราะเห็นแล้วว่าพรรคของตนไม่สามารถรวบรวมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรได้ตามแผนที่วางไว้
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี