เป็นระยะเวลาร่วมสองสัปดาห์ หลังจากการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 ได้ผ่านพ้นไป แต่สิ่งที่ยังค้างคาหลังจากการเลือกตั้ง คือเรื่องของผลการเลือกตั้งจาก กกต. ที่ถึงตอนนี้ยังไม่มีการชี้ชัดถึงสูตรการคิดคำนวณถึงสัดส่วนที่นั่ง สส. แบบบัญชีรายชื่อในสภา จะมีก็เพียงตัวเลขคร่าวๆ ว่าแต่ละพรรคควรจะได้จำนวนเท่าไหร่ผ่านการคิดคำนวณของสื่อ ซึ่งแต่ละพรรคการเมืองก็มีการตีความสูตรการคิดคำนวณไปตามความเข้าใจของตัวเอง ส่วนหนึ่งในวิธีการคำนวณที่ว่ากันว่าจะเป็นวิธีหลัก คือ วิธีที่อ้างอิงจากการประกาศผ่านหน้าเว็บไซต์ของกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ที่ประกาศไว้ตั้งแต่ต้นปี 2561 ซึ่งสูตรนี้ จะเปิดช่องให้พรรคเล็กมีโอกาสได้ที่นั่ง สส. ได้ แม้จะได้คะแนนเสียงไม่ถึงเกณฑ์มาตรฐาน ที่ตกประมาณ 6-7 หมื่นคะแนนเสียงต่อหนึ่งที่นั่ง
แม้ต่อมา จะมีผู้ออกมาให้ความเห็นแย้งกับข้อมูลข้างต้นที่ว่า พรรคเล็กที่คะแนนเสียงไม่ถึงมาตรฐานไม่ควรได้ สส. อย่างกรณีของนายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต. ที่ได้แถลงข่าวว่าการคำนวณจำนวนที่นั่งของ สส. แบบบัญชีรายชื่อต้องยึดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 91 วรรค 4 ซึ่งจะทำให้พรรคเล็กกว่า 58 พรรค ไม่ได้ สส. ในระบบบัญชีรายชื่อเพราะคะแนนไม่ถึงเกณฑ์จากการคำนวณ โดยตัวเลขพรรคที่จะมี สส. แบบบัญชีรายชื่อจะมีเพียง 14 พรรค ที่ได้ ไม่ใช่ 25 พรรค ตามตัวเลขที่ปรากฏในประกาศของ กกต. และไม่ว่าคำนวณอย่างไรก็ตาม ก็ต้องเปิดเผยต่อประชาชนเพื่อความโปร่งใส แต่ปัญหาไม่ว่าจะเป็นความล่าช้า? หรือความคลุมเครือในการตอบคำถามของ กกต.? ก็กำลังเป็นการเปิดช่องให้กลุ่มผู้ไม่หวังดีบางกลุ่ม? สบโอกาสที่จะสร้างกระแสข่าวว่าการเลือกตั้งในครั้งนี้ไม่ชอบธรรมใช่หรือไม่? หรือกระแสข่าวการใช้อำนาจหน้าที่ของ กกต. ในการเอื้อประโยชน์ให้กับพรรคการเมืองใดพรรคหนึ่ง? หรือกลั่นแกล้งพรรคการเมืองที่ตั้งตัวอยู่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล? ซึ่งกระแสข่าวดังกล่าว แม้จะไม่ได้ถูกโหมกระพือให้เป็นกระแสที่ลุกลามบานปลาย แต่หาก กกต. ยังประวิงเวลาในการชี้แจงต่อสาธารณะออกไป เรื่องนี้ก็อาจจะไม่ใช่เพียงกระแสชั่วคราวแต่จะกลายเป็นอันตรายต่อการเลือกตั้ง และผลการเลือกตั้งหรือไม่? ซึ่ง กกต. ควรที่จะต้องเร่งสะสาง ให้เรียบร้อยและถูกต้องโดยเร็ว ภายในกรอบเวลาตามกฎหมายให้อำนาจถึงวันที่ 9 พฤษภาคมนี้ แต่หากสามารถจัดการได้ในเร็ววันก็จะเป็นผลดีในระยะยาว และเป็นผลให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างสมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม เรื่องของความไม่ชัดเจนของผลการเลือกตั้งหลายฝ่ายก็มองว่าเป็นการสร้างกระแส เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจหรือไม่? เมื่อมีข่าวที่ดูน่าสนใจและร้อนแรงไม่แพ้กัน คือเรื่องของการแจ้งข้อกล่าวหาต่างๆ ต่อแกนนำพรรคอนาคตใหม่ ทั้งนายธนาธร และนายปิยบุตร ที่กำลังมีคดี โดยนายธนาธรโดนหมายเรียกให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาแล้วทั้งหมด 3 คดี อันได้แก่ ความผิดทางอาญามาตรา 116 ยุยงปลุกปั่น ที่ต้องขึ้นศาลทหาร มาตรา 189การพาผู้ต้องหาหลบหนี และมาตรา 225 มั่วสุมชุมนุมเกิน 10 คน ทำให้เกิดความวุ่นวายทางการเมืองยังไม่นับรวมคดีที่กำลังจะมาถึงอย่างคดีการโอนหุ้น ที่ทางสำนักข่าวแห่งหนึ่งได้ออกมาเปิดเผยถึงข้อสงสัยต่อการโอนหุ้นบริษัทสื่อหนึ่ง ภายในครอบครัวจึงรุ่งเรืองกิจ ส่วนนายปิยบุตร ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาในเรื่องของการหมิ่นอำนาจศาล และการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบอินเตอร์เนต ในกรณีการอ่าน แถลงการณ์พรรคอนาคตใหม่เกี่ยวกับการยุบพรรคไทยรักษาชาติ ซึ่งกรณีเหล่านี้กำลังถูกหยิบยกมาสร้างกระแสว่าเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง และลดทอนข้อเท็จจริงในคดี มากกว่าการพูดถึงพยานหลักฐาน และข้อเท็จจริงในคดีที่เกิดขึ้นหรือไม่ ?
กรณีของหัวหน้าพรรค อย่างนายธนาธร แม้ต่อให้หลุดคดีที่บอกว่าเป็นคดีทางการเมืองทั้ง 3 ข้อกล่าวหา แต่เรื่องการโอนหุ้นก็ยังคงต้องน่าหนักใจต่อด้วยหรือไม่? เพราะจากหลักฐานที่ทางสำนักข่าวแห่งหนึ่งได้ออกมาเปิดเผย หากเป็นจริงก็ทำให้น่าคิดว่า เรื่องนี้ค่อนข้างยากที่จะสู้คดีหรือไม่? ส่วนเรื่องว่าการโอนหุ้นสำเร็จหรือไม่นั้น ในวันใดวันหนึ่งก็ต้องเป็นเรื่องที่ต้องให้ศาลพิจารณาหลักฐานอยู่ดี โดยในกรณีนี้ก็มีคนตั้งข้อสังเกตว่าคลับคล้ายคลับคลากับสมัยทักษิณหรือไม่? แม้ไม่ได้เหมือนกันในเรื่องของตัวบทกฎหมายข้อเดียวกันสักทีเดียว เพราะเป็นฐานความผิดในเรื่องที่ต่างกัน แต่มีความคล้ายกันในแง่ของพฤติกรรม? ที่อาจจะถูกวิจารณ์จากสังคมได้ว่ามีเจตนาซ่อนเร้นอำพรางหรือไม่? เพราะการโอนหุ้นกลับไปกลับมาภายในครอบครัว กลับเป็นพฤติกรรมที่ทำให้สงสัยได้ว่า มีความพยายามในการยักย้ายถ่ายเทเพื่ออะไรหรือไม่?ซึ่งครั้งหนึ่งในสมัยของนายทักษิณก็มีประเด็นเรื่องของการหลบเลี่ยงภาษีในที่สุด?
นอกจากเรื่องหุ้นโดยตรงแล้ว มีบางสื่อไปพบข้อมูลว่าครอบครัวของธนาธรถือหุ้นในสื่อยักษ์ใหญ่ด้วย หลายคนจึงเกิดคำถามกับการทำงานของสื่อดังกล่าวตลอดช่วงเวลาของการหาเสียงเลือกตั้ง? แต่ประเด็นไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างธนาธรกับสื่อ แต่เป็นเรื่องของความจริงใจ ในการจัดการทรัพย์สินของนายธนาธร เพราะก่อนหน้านี้ นายธนาธรได้พยายามแสดงให้เห็นความตั้งใจในการโอนทรัพย์สินเข้าสู่ระบบที่เรียกว่า blind trust โดยอ้างว่าเป็นการโอนทรัพย์สินให้อย่างเด็ดขาด ไม่สามารถสั่งการได้ แต่ก็มีคนต้องการออกมาท้วงติงกระบวนการดังกล่าว โดยนายกรณ์ จาติกวณิช ที่ชี้แจงว่าการโอนทรัพย์สินเข้าสู่ blind trust ไม่ได้เป็นการโอนแบบขาดจากการตัดสินใจอย่างเด็ดขาด เมื่อมีกรณีการโอนหุ้นแดงขึ้นมา จึงน่าคิดว่าการเอาหุ้นออกไปนอกตัว อาจส่งผลบวกต่อการหลบเลี่ยงได้หรือไม่? พฤติกรรมในการโอนหุ้นกลับไปกลับมา บวกกับข้อมูลในแถลงข่าวที่ไม่ ตรงกับข้อมูลที่สื่อนำมาเสนอ อาจทำให้ความมั่นใจในตัวธนาธรเริ่มสั่นคลอนไปเรื่อยๆ ต้องติดตามกันต่อไป
การเลือกตั้งที่ผ่านมา แม้จะมีความคลุมเครือในเรื่องของผลการเลือกตั้ง และยังมีเรื่องคดีความที่ยังตามติดนักการเมืองหลายคนอยู่ในขณะนี้ แต่สิ่งที่ฝ่ายการเมืองแต่ละพรรคไม่ได้สนใจและพูดถึงเลยก็คือปัญหาเศรษฐกิจและปากท้องประชาชนอย่างที่ได้หาเสียงได้ พบว่าต่างฝ่ายพูดถึงแต่การแบ่งแยกและการจัดสรรเพื่ออำนาจทางการเมือง ในขณะที่รัฐบาลนี้ไม่ใช่รัฐบาลรักษาการ
แต่เป็นรัฐบาลพิเศษที่สามารถบริหารประเทศได้อย่างปกติจนมีประเด็นเมื่อวานนี้ออกมาจากกระทรวงการคลังว่ารัฐเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบแพ็กเกจอีกระลอกเพราะรอผลการเมืองรัฐบาลใหม่ไม่ทัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นประเด็นสำคัญที่ผู้แทนประชาชนที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหลายควรจะหันมาสนใจ
และแม้การจัดการทางการเมืองหลังเลือกตั้งผลจะไม่เด็ดขาดอย่างที่แต่ละฝ่ายคิด ที่อาจทำให้เกิดความไม่พอใจจากหลายฝ่ายก็ตามแต่ก็ไม่น่าจะใช่เหตุผลในการสร้างกระแสปลุกปั่น ทั้งกระแสให้เลือกตั้งเป็นโมฆะ หรือการเรียกร้องให้มีการรวมตัวของมวลชนเพื่อสนับสนุนตัวเองในการต่อสู้คดี เพราะทุกคนทราบดีอยู่แล้วว่าการที่ กกต. ประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการหลังพระราชพิธีเพื่อเลี่ยงความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้น แต่ก็กำลังมีคนบางกลุ่มที่พยายามกระตุ้นให้เกิดความวุ่นวายขึ้น ซึ่งไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่ก็ตาม ก็ไม่ควรจะก่อความวุ่นวาย
ในช่วงใกล้พระราชพิธีหรือช่วงพระราชพิธีใช่หรือไม่?
“…โป้ปดก็เป็นโป้ปด เรื่องใหญ่เรื่องเล็กล้วนเป็นเช่นกัน...”
คำคมโกวเล้ง จากเรื่อง ฤทธิ์มีดสั้น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี