ผลการเลือกตั้งทั่วไปที่ประเทศมาเลเซีย เพื่อนบ้านอันใกล้ชิดและมิตรสนิทของไทยเราเมื่อเดือนพฤษภาคม 2561 จัดเป็นอีกหนึ่งสึนามิทางการเมืองถือเป็นการปฏิวัติสังคมการเมือง หรือเป็นการปลดแอกสังคมมาเลเซียจากการครอบงำ ผูกขาดอำนาจ จากอาณาจักรแห่งความกลัว และอภิสิทธิ์ชนของผู้คนในนามของกลุ่มพรรคการเมืองที่ชื่อว่า UMNO (United Malays National Organization) ซึ่งถือครองอำนาจบริหารต่อเนื่องมาแต่ผู้เดียวตั้งแต่มาเลเซียได้รับเอกราชจากเจ้าอาณานิคมสหราชอาณาจักร (หรืออังกฤษ)นับเป็นเวลาถึง 60 ปี
ที่เปรียบว่าเป็นสึนามินั่นก็เพราะว่า แม้กระทั่งถึงนาทีสุดท้ายก่อนการหย่อนบัตรเลือกตั้ง ก็เป็นที่คาดคิดในสังคมมาเลเซียกันว่า จะอย่างไรก็ตาม พรรคอัมโนก็จะชนะเลือกตั้งอย่างแน่นอน เพียงแต่จะอย่างแบบท่วมท้น หรือมากน้อยเท่าใดเท่านั้น ไม่มีผู้ใดคาดคิดทั้งในและนอกประเทศมาเลเซียว่า พรรคอัมโนจะพ่ายแพ้ โดยเฉพาะการพ่ายแพ้แบบหลุดลุ่ยเช่นนี้
แต่เมื่อผลออกมาแล้ว กลับกลายเป็นว่า พันธมิตรพรรคฝ่ายค้านร่วมกัน 3-4 พรรค กลับได้รับชัยชนะแบบเด็ดขาด ขาวสะอาด ไปแบบพลิกล็อกพลิกความคาดหมายอย่างสิ้นเชิง
ชาวมาเลเซียที่ทนทุกข์ทรมานอยู่กับอำนาจเผด็จการรัฐสภา อำนาจพรรคเดียวเป็นใหญ่ ที่รักความยุติธรรม ต้องการความเป็นอิสระ ก็เลยต่างดีอกดีใจเป็นล้นพ้น นักประชาธิปไตยทั่วโลกก็ร่วมปีติยินดีด้วย และหวังว่าประชาธิปไตยที่แท้จริงของมาเลเซียจะได้กลับสู่มาเลเซียเสียที และหวังต่อว่าจะเดินหน้าไปได้อย่างราบรื่นตลอดรอดฝั่ง
หลังจากนั้น ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด วัย 92 ปีผู้ที่เลือกหวนกลับสู่สนามการเมืองอีกครั้ง เนื่องจากเห็นว่าบ้านเมืองของตนถดถอย ย่ำแย่ ก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำรัฐบาลใหม่ กลายเป็นความหวังของชาวมาเลเซีย และนักประชาธิปไตยทั่วโลก
ทั้งคนในและคนนอกประเทศมาเลเซียต่างเล็งเห็นผลสำเร็จของมาเลเซียว่า เป็นแบบอย่างของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย การต่อสู้กับระบอบเผด็จการเสียงข้างมาก และระบอบพรรคเดียวครอบงำนำพา ที่ใช้การเลือกตั้งแค่เป็นเครื่องมือเข้าสู่อำนาจ แล้วกลับใช้อำนาจนั้นๆ “หากิน” จากงบประมาณและทรัพย์สินของบ้านเมือง
ชัยชนะของพรรคฝ่ายค้านนั้นมาด้วยกับการร่วมมือกันระหว่างฝ่ายพรรค กับฝ่ายภาคประชาชนโดยทั่วไป และกับภาคขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยเป็นการเฉพาะ หรือนัยหนึ่งเป็นการ
จับมือกันระหว่างพรรคการเมือง กับกลุ่มเคลื่อนไหว และประชาชนผู้ต้องการประชาธิปไตยที่แท้จริง
รูปแบบนี้ได้ก่อให้เกิดความสำเร็จในการขับไล่พรรคผูกขาดออกจากตำแหน่งโดยสันติวิธีนี้ จะเป็นตัวอย่าง (Model) ให้กับสังคมประเทศอื่นๆ ได้โดยเฉพาะพรรคการเมืองต้องให้เกียรติ ยอมรับ รับฟัง และร่วมมือกับองค์กรภาคประชาชนทั้งหลายที่ต้องการเห็น และต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
แต่เมื่อได้ชัยชนะมาแล้ว สิ่งสำคัญก็คือ ต้องมีการประคับประคองกันไป โดยมุ่งให้ประชาธิปไตยจะยั่งยืน เพื่อที่สังคมจะได้ไม่ต้องหวนกลับไปสู่วิถีการเมืองแบบเก่าๆ เดิมๆ นั้นก็หมายความว่า จะต้องมีการดำเนินการปฏิรูป แก้ไข อุปสรรคต่างๆ ทั้งตัวบทกฎหมาย องค์กร รวมถึงวิธีการที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งที่ผ่านมาหลายสิบปีการเมืองการปกครองของมาเลเซียเป็นการเมืองแบบกระจุกตัวของอำนาจที่ส่วนกลาง คือที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวง และอำนาจกระจุกตัวนั้นก็มากระจุกตัวอยู่ที่ตัวนายกรัฐมนตรีเป็นสำคัญ โดยเฉพาะอำนาจในการแต่งตั้ง มิใช่แค่คณะรัฐมนตรี แต่รวมไปถึงตำแหน่งต่างๆ ในสภา ตำแหน่งข้าราชการ แต่ยังรวมไปถึงองค์กรยุติธรรม และองค์กรอิสระอีกด้วย
นอกจากนั้น สิ่งที่รัฐบาลพรรคอัมโนมุ่งกระทำโดยตลอดมา และเข้มข้นมากขึ้นในรัฐบาลชุดที่แล้วภายใต้นายกรัฐมนตรี นาจิบ ก็ได้ออกกฎหมาย หรือแก้ไขกฎหมายความมั่นคงต่างๆ ที่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพต่างๆ จำกัดจำเขี่ยผู้เห็นต่าง พร้อมกับการตั้งข้อหา และการคุมขังโดยไม่มีการคุ้มครองโดยศาลยุติธรรมต่างๆ เหล่านี้เป็นการเสริมสร้างอาณาจักรแห่งความกลัวและกดขี่เป็นอย่างมาก ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ต้องมีการแก้ไข โดยเอาสิทธิและความปลอดภัยของประชาชนเป็นที่ตั้ง
อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นการบ้านของรัฐบาลใหม่ก็คือ การเรียกร้องธรรมาภิบาลในการบริหารราชการ การป้องกันและการจัดการกับการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งเป็นไปอย่างกว้างขวางและรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ ดังกรณีทุจริตของอดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นาจิบ ราซัค เป็นต้น
นอกจากนั้น ก็เป็นเรื่องของการเลิกประเพณีของการมีการเมืองแบบเอื้อธุรกิจรายใหญ่ เป็นกลุ่มพวกพ้อง (Cronyism) ที่ฝ่ายอำนาจรัฐเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มธุรกิจ โดยมี “รางวัล” ตอบแทนให้กัน
ขณะนี้รัฐบาล ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด อยู่ในตำแหน่งมาจะร่วม 1 ปีแล้ว แต่เรื่องการปฏิรูปต่างๆ ดังกล่าว กลับยังไม่ได้มีวี่แววว่าจะเกิดขึ้นเป็นชิ้นเป็นอัน ซึ่งส่งผลให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากพรรคร่วมรัฐบาลบ้างแล้ว ซึ่งปัญหาน่าจะเกิดเนื่องจากการที่ ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด ดูยังคงมีสไตล์ทำงานแบบกุมอำนาจไว้เพียงผู้เดียว ไม่เชื่อมือรัฐมนตรีหน้าใหม่ หรือไม่ ก็ยังมัวแต่ให้ความสนใจกับเรื่องสืบทอดอำนาจให้กับบุคคลในครอบครัว และพรรคพวกใกล้ชิด หรือใช้เวลาไปกับการมุ่งขยายฐานพรรคของตน โดยการไป “ซื้อตัว” หรือเชื้อเชิญบรรดาอดีตลูกน้องที่อยู่ในพรรคฝ่ายค้านอัมโน โดยแลกกับตำแหน่งในรัฐบาล ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการทำเพื่อตนเองและพรรคพวกของตน ไม่ได้เป็นการทำงานตามที่ประชาชนได้มอบหมายและฝากความคาดหวังเอาไว้
หากยังปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป คณะรัฐบาลมาเลเซียก็จะเดินไปอย่างไม่ราบรื่น ไม่มีผลงานออกมาสู่สายตาประชาชน ซึ่งจะทำให้พรรคฝ่ายค้านสามารถโจมตีได้ และตีตื้นด้วยคะแนนนิยม แต่ประเด็นสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ การเมืองมาเลเซียจะหันเห และจะสร้างความแตกแยก การขัดขืนและเผชิญหน้า ไปในทิศทางของชาติพันธุ์นิยม และศาสนานิยม ซึ่งจะไม่ส่งผลดีต่อประชาธิปไตยแต่อย่างใด
ก็หวังว่า ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด จะได้พินิจพิเคราะห์เห็นถึงปัญหาต่อระบอบประชาธิปไตยเหล่านี้ และได้เริ่มตั้งหลักใหม่ในการบริหารประเทศให้ถูกต้อง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อประชาธิปไตยของมาเลเซียเบิกบาน ก็ย่อมส่งผลบวกต่อประชาธิปไตยในภูมิภาค ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด และมาเลเซียจึงต้องประคองประชาธิปไตยใหม่ให้ไปได้อย่าง
ราบรื่นและยั่งยืน และมิตรประเทศที่รักประชาธิปไตยก็จะได้ฝากความหวังและเรียนรู้และเป็นแบบอย่างต่อไป
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี