ทุกวันนี้ประชาชนดูจะสนใจและใส่ใจต่อปัญหาการเมืองเป็นอันมาก โดยเฉพาะการเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านไป อาจจะเป็นเพราะเราห่างเหินจากการเลือกตั้งมาเป็นเวลานานปี และเยาวชนรุ่นใหม่เจ็ดล้านเศษที่ยังไม่เคยเลือกตั้งมาก่อนเลย ฉะนั้นการเลือกตั้งครั้งที่เพิ่งผ่านไป จึงมีปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ น่าเรียนรู้ และน่าที่จะต้องเสวนากันไปอีกชั่วระยะหนึ่ง ประกอบกับผลการเลือกตั้งก็ดูจะไม่สบอารมณ์หลายฝ่าย ส่วนที่สบอารมณ์ก็คงมีแน่นอน เช่น พรรคอนาคตใหม่ ซึ่งก็อาจจะมีวิบากกรรมที่จะต้องฟันฝ่าต่อไปในอนาคต ขณะที่อีกพรรคหนึ่งซึ่งในช่วงก่อนวันที่ 9 มีนาคม ดูเหมือนกำลังจะรุ่ง แต่ก็ต้องสะดุดขาตัวเองโดยไม่คาดฝัน
การเมืองจึงเป็นกิจกรรมที่สลับซับซ้อน ยากต่อการพยากรณ์ แต่ถ้าหากลองไต่ถามเกจิอาจารย์ทั้งอดีตและปัจจุบัน ก็อาจจะมีคำตอบที่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ได้เสมอ
ผู้เขียนได้กล่าวถึงสาเหตุหรือปัจจัยทางสังคมที่อาจมีส่วนสำคัญทำให้ผลการลงคะแนนออกมาเช่นนั้น เช่น คะแนนที่ลงให้พรรคเพื่อไทย ส่วนใหญ่จากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งผูกพันกับพรรคเพื่อไทย และ สส.ในเขตนั้นๆ เป็นพลังที่เรียกว่า พลังอนุรักษ์นิยม (Conservative force) คือมีเสถียรภาพ-คงที่ มากกว่าพลังคะแนนในเมืองหลวง เช่น กทม. ซึ่งอาจผันแปรตามกระแสขณะนั้น และคะแนนของผู้ลงคะแนนในเมืองหลวงอาจมี 2 ลักษณะ คือ กระจุกตัวอยู่ตรงกลาง หรือกระจายไปยังขั้วซ้าย ขั้วขวา แล้วแต่ศรัทธาความเชื่อถือ
ในการเลือกตั้งในประชาธิปไตยตะวันตก เช่น สหรัฐอเมริกา และ/หรือ อังกฤษ บางช่วงคะแนนจะกระจุกตัวอยู่ตรงกลาง ฉะนั้น พรรคการเมืองทั้งขั้วขวาและขั้วซ้าย ต่างก็พยายามจะเสนอนโยบายและโปรแกรมเพื่อเอาใจ กลุ่มผู้คนที่ยืนอยู่ตรงกลาง -ไม่ซ้ายนัก-หรือขวานัก ยังผลให้การเมืองมีเสถียรภาพ
หรือในกรณีตรงกันข้าม เกิดปรากฏการณ์ขั้วซ้าย-ขั้วขวา เกิดแรงดึงดูดไปทางซ้ายจัดหรือขวาจัด ทำให้เกิดการเมืองสุดขั้ว เช่น ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ใน กทม. ยังผลให้พรรคการเมืองที่เสนอนโยบาย/โปรแกรมสายกลาง (ไม่ซ้าย-ไม่ขวา) มักจะสูญเสียเสียงสนับสนุนที่ควรอยู่ตรงกลางของทั้งสองฝ่าย คำอธิบายดังกล่าวนี้น่าจะอธิบายปรากฏการณ์ที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้รับเลือกตั้งเลยสักเขตเดียวใน กทม. เมื่อวันที่ 24 มีนาคม
อย่างไรก็ตาม ตามหลักวิชาทางสังคมศาสตร์ ก็มีความเชื่ออยู่ประการหนึ่งในอิทธิพลของการศึกษา ที่จะช่วยหล่อหลอมแนวคิดของผู้คนในสังคมเดียวกันให้ใกล้เคียงกัน จากเดิมที่อาจแบ่งเป็นขั้วซ้าย ขั้วขวาอย่างชัดเจน แต่เมื่อได้ผ่านกระบวนการศึกษามาเหมือนๆ กัน ในสังคมเดียวกัน และระบบการเรียนการสอนเดียวกัน ก็จะไม่แตกต่างกันมากนักทางความคิดและรสนิยม ฉะนั้น ความนึกคิดของผู้คนจะกระจุกตัวใกล้จุดศูนย์กลางมากขึ้น ในกรณีนั้น พรรคการเมืองต่างๆ ก็จะปรับนโยบายและจุดยืนเข้าหาจุดศูนย์กลางมากขึ้น ดังที่ได้เห็นกันมาในกรณีที่หลายๆ พรรคการเมืองต่างแย่งกันเสนอแนวคิดเรื่อง “รัฐสวัสดิการ”
นอกจากนั้น ยังมีกรณีของการแบ่งสัดส่วนของตลาดผู้บริโภคทางการเมือง (Market – Segment) ตลาดของผู้สูงอายุ ตลาดของเยาวชน ตลาดของคนรุ่นเก่า-คนรุ่นใหม่ ซึ่งพรรคหนึ่งครั้งที่แล้วได้สร้างแบรนด์บนพื้นฐานของรสนิยมของคนรุ่นใหม่ 7.1 ล้านคน ที่ไม่เคยได้ลงคะแนนมาก่อน และทำการรณรงค์โดยวิธีการใหม่-ที่อาศัย “Social Media” เป็นยุทธศาสตร์หลัก โดยไม่ได้ใช้ระบบเดิม-ที่ต้องสร้างเครือข่ายของหัวคะแนน
ในการเลือกตั้งในสังคมไทยในช่วง 30-40 ปีที่แล้ว ระบบหัวคะแนนมีความสำคัญมาก และเป็นอุปสรรคต่อพรรคใหม่ๆ ที่จัดตั้ง จะไม่สามารถสร้างระบบหัวคะแนนได้เหมือนพรรคเก่าๆ ที่มีประสบการณ์มาก่อน แต่ระบบการสื่อสารสมัยใหม่ทำให้ระบบการหาเสียงเปลี่ยนไป
อย่างไรก็ตาม ก็มิใช่ว่าทุกคนจะสามารถใช้สื่อออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพได้เหมือนกัน ยังต้องอาศัยสัญลักษณ์และรสนิยมที่คล้ายกัน ที่ผู้เขียนใช้คำว่า “Identity Politics” – การเมืองที่พึ่งพิงสัญลักษณ์และความเป็นตัวตนประเภทเดียวกัน การแสดงออกทางอารมณ์ที่คล้ายกัน ไม่ต่างจากขบวนการของพวก “บุปผานิยม” (ฮิปปี้) ในยุคสงครามเวียดนาม
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็เพื่ออธิบายว่าการเมือง หรือรัฐศาสตร์ มีหลักและกระบวนการที่ยึดโยงกับหลักวิชา มิใช่เรื่องราวที่บังเกิดขึ้นอย่างสะเปะสะปะ ฉะนั้น หากเกิดปัญหาหรือวิกฤติทางการเมือง ก็ย่อมมีข้อเสนอแนะตามหลักวิชา ไม่ต่างจากวิถีของสงครามในพงศาวดารสามก๊ก ที่ชัยชนะมิได้เกิดขึ้นอย่างตามมีตามเกิด แต่เกิดขึ้นเพราะสติปัญญาของผู้คน เช่น ขงเบ้ง และความห้าวหาญของนักรบ เช่น กวนอู เตียวหุย และ จูล่ง
ปัญหาของวิกฤติทางการเมือง (และเศรษฐกิจ) เกิดจากพฤติกรรมของผู้คน โดยเฉพาะกลุ่มผู้นำ ซึ่งรวมทั้งนักการเมือง ทหาร ข้าราชการ นักธุรกิจ และสื่อมวลชน หากปรับพฤติกรรมของกลุ่มผู้นำได้ ก็สามารถหันเหทิศทางไปสู่ความปรองดองและความเจริญรุ่งเรืองได้เช่นกัน
จะปรับพฤติกรรมของผู้คน ก็ต้องเริ่มที่ความคิดและอุปนิสัย โดยเฉพาะทางความคิด ซึ่งในปัจจุบันอาจจะเป็นด่านแรก หรือยุทธศาสตร์ขั้นต้นที่อาจไม่ยากเกินไปที่ดำเนินการผ่านระบบการศึกษา และชุดความคิดดังกล่าวคงมิใช่ครอบจักรวาล แต่เฉพาะหลักรัฐศาสตร์ที่เป็นสากล และควรจะต้องเริ่มที่การฝึกหัดครูที่จะต้องเข้าใจปรัชญาเบื้องต้นเกี่ยวกับหลักการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และครูทุกคนที่ผ่านหลักสูตรดังกล่าวนี้ ก็จะเป็นผู้ส่งต่อแนวคิดและทัศนคติให้แก่เยาวชนทั่วประเทศทุกๆ รุ่น
ประเทศเพื่อนบ้าน ยกตัวอย่างเช่น มาเลเซีย สมัยเมื่อ 40 กว่าปีมาแล้ว ผู้เขียนได้ไปดูงานการศึกษาของประเทศนี้ และรับทราบมาว่ารัฐบาลให้ความสำคัญเรื่องการฝึกหัดครูเป็นอันดับหนึ่ง และวิชาที่สอนครู วิชาที่สำคัญที่สุดคือ ปรัชญาทางสังคม เพื่อไปสอนเยาวชนให้มีพื้นฐานทางความคิด/ปฏิบัติ ตรงตามเป้าหมายของประเทศ
ในการสร้างพลเมืองไทย เราคงไปห้ามมิให้เยาวชนมีความคิด/อุดมการณ์ต่างๆ นานา ตามที่แต่ละคนจะศรัทธา คงไม่ได้ แต่เราก็จะต้องสามารถอธิบายเหตุผล และคุณประโยชน์ของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และสร้างศรัทธาในหมู่เยาวชน ในกระบวนการนี้ ครู-อาจารย์ ก็จะต้องรอบรู้ระบบการเมืองเปรียบเทียบระหว่างประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ เช่น อังกฤษ ฯลฯ และจะต้องไม่แปลความผิดๆ ดังที่ปรากฏในหมู่นักวิชาการของไทยในบางสำนัก
อาจจะเป็นเพราะนักวิชาการไทย-สาขารัฐศาสตร์ โดยเฉพาะได้ไปศึกษาจากประเทศต่างๆ เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส และอาจจะเข้าใจเฉพาะจากประเทศที่ได้ไปสัมผัสมา ก็จะนำความคิดของประเทศนั้นๆ มาสอนชาวไทย เช่น นำเอาระบบสหรัฐอเมริกามาสอนชาวไทย อันที่จริง สอนหลายๆ ระบบในเชิงเปรียบเทียบได้ แต่ต้องเน้นแบบของไทยควรเป็นอย่างไร หากสอนตามอำเภอใจของตน และอาจสอนไม่ตรงตามข้อเท็จจริงของระบบในประเทศเหล่านี้ ก็ยิ่งเป็นการทำร้ายตัวผู้เรียนและประเทศชาติของตน
ฉะนั้น หากจะปูพื้นฐานทางการเมืองกันใหม่ ก็จะต้องเริ่มที่การฝึกหัดครูและการอบรมครูให้เข้าใจทั้งปรัชญาการเมืองตะวันตก และตะวันออก ระบบการเมืองของประเทศในยุโรปตะวันตก โดยเฉพาะของอังกฤษ ซึ่งมีระบบกษัตริย์ และเปรียบเทียบกับระบบกษัตริย์ของไทย หากรัฐบาลและสังคมไทยปล่อยปละละเลยเรื่องเหล่านี้ เชื่อได้เลยว่าวิกฤติการเมืองจะอยู่กับสังคมไทยจนกระทั่งล่มสลาย
ดร.วิชัย ตันศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี