แม้จะผ่านวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งล่าสุดมาแล้วประมาณ 3 สัปดาห์ แต่ก็ยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าพรรคการเมืองใดได้คะแนนอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
เมื่อคะแนนอย่างเป็นทางการยังไม่ปรากฏต่อสาธารณชน จึงทำให้พรรคการเมืองแต่ละพรรคต่างประกาศกันไปคนละทิศละทางว่าพรรคของตนได้คะแนนเท่านั้นเท่านี้ โดยเฉพาะพรรคจำพวกที่กระสันจะได้เป็นรัฐบาล ก็จงใจป่าวประกาศว่าพรรคของตนเองได้คะแนนนำสูงสุด พร้อมกับอ้างต่อไปว่า พรรคของตนจะต้องได้เป็นรัฐบาล
มีผู้ตั้งคำถามว่า ทำไมสังคมไทยจึงเกิดปัญหาเรื่องการประกาศคะแนนการเลือกตั้ง สส. แล้วเหตุใดในการเลือกตั้ง สส. ครั้งที่ผ่านๆ มา จึงไม่เกิดปัญหาการนับคะแนนล่าช้า เหมือนเช่นที่กำลังเกิดขึ้น ที่สำคัญคือมีผู้ตั้งคำถามอีกว่า ทำไมจึงไม่สามารถประกาศผลการเลือกตั้ง สส. ได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ทำไมต้องรอจนถึงวันที่ 9 พฤษภาคม 2562
อันที่จริงคำตอบสำหรับคำถามนี้มีอยู่แล้วในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 และในกฎหมายเลือกตั้งแล้ว แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ต่างคนต่างตีความรัฐธรรมนูญไปตามอำเภอใจ เมื่อต่างคนต่างตีความ ก็จึงเกิดปัญหาตามมา
มีผู้ถามด้วยว่าจนถึงทุกวันนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตอบได้หรือไม่ว่าผลการนับคะแนนสุดท้ายเสร็จสิ้นหรือยัง แต่ไม่ว่า กกต. จะตอบคำถามนี้อย่างไรก็ตาม แต่สำหรับนักการเมืองกลุ่มหนึ่ง นักข่าวบางราย นักวิชาการบางจำพวก และอีกสารพัดนักซึ่งให้ความสนใจกับคะแนนเลือกตั้ง สส. หรือมิฉะนั้นก็อาจจะมีคนบางกลุ่มบางจำพวกที่อาจจะจงใจก่อให้เกิดความสับสนกับสังคม พยายามจะคิดคำนวณผลการนับคะแนนการเลือตั้งครั้งล่าสุด แล้วพยายามบอกกับสังคมว่า ผลการนับคะแนนตามแบบฉบับของตนนั้นคือสิ่งที่ถูกต้องที่สุด
เมื่อต่างคนต่างคิดคำนวณสูตร สส. แบบบัญชีรายชื่อไปตามความเชื่อของตนเอง แล้วต่างฝ่ายต่างก็ประกาศผลที่ได้ออกมา ก็ส่งผลให้เกิดความแตกต่างกันอย่างน่าอัศจรรย์ แต่ความแตกต่างของตัวเลขก็ไม่น่ากลัวเท่ากับความจงใจที่จะก่อให้สังคมเกิดความสับสนและเกิดความแตกแยกตามมา
แม้คณะการการเลือกตั้งจะพยายามบอกกับสังคมมาโดยตลอดว่าสูตรการคิดคำนวณ สส. แบบบัญชีรายชื่อมีอยู่เพียงสูตรเดียวเท่านั้น แต่ถึงกระนั้น กกต. ก็ยังไม่สามารถอธิบายสูตรที่ว่านี้ให้สังคมไทยเข้าใจได้ตรงกัน มิหนำซ้ำยิ่งซักถามเรื่องนี้ ก็ดูเสมือนว่าจะยิ่งทำให้ กกต. ตอบคำถามสังคมไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้สังคมเกิดข้อกังขากับ กกต. จนทำให้หลายต่อหลายฝ่ายออกมาวิพากษ์วิจารณ์ จนถึงกระทั่งโจมตี กกต. อย่างหนัก
สำหรับผู้ที่ติดตามข่าวของ กกต. มาโดยตลอด คงจำได้ดีว่า แม้กระทั่ง คุณจรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. ก็ยังเคยยอมรับว่ายังไม่มีความชัดเจนในเรื่องสูตรการคิดคำนวณ สส. บัญชีรายชื่อ เพราะว่า กกต. ยังไม่มีมติในเรื่องนี้ แต่ก็ยังอุตส่าห์กล่าวด้วยว่า การคิดคำนวณ สส. บัญชีรายชื่อได้ถูกบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และในกฎหมายเลือกตั้งเรียบร้อยแล้ว แต่สุดท้ายเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา (ช่วงก่อนวันสงกรานต์) ก็กลับปรากฏว่าได้มีการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเรื่องการคิดคำนวณคะแนน สส. บัญชีรายชื่อ แต่ก็ยังไม่ทราบว่ารัฐธรรมนูญจะรับเรื่องไว้พิจารณาวินิจฉัยหรือไม่ (ในวันที่ส่งต้นฉบับนี้
ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่มีมติออกมา)
เมื่อเรื่องปรากฏเช่นนี้ ก็จึงทำให้สังคมยิ่งสับสนอลหม่าน แล้วตั้งคำถามว่า ตกลงนี่มันอะไรกัน เหตุใด กกต. จึงแสดงอาการเสมือนไม่มั่นใจในการทำหน้าที่สำคัญ โดยเฉพาะการประกาศคะแนน สส. บัญชีรายชื่อ เมื่อเป็นเช่นนั้น หลายคนที่คิดว่าอ่านกฎหมายรู้ ดูกฎหมายเป็น ต่างก็พยายามคิดคำนวณผลด้วยตัวเอง โดยการอ่านตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มาตรา 128 ซึ่งสรุปความได้ว่า ให้นำจำนวนผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งทั่วทั้งประเทศ โดยไม่รวมบัตรเสีย และไม่รวมบัตรที่ไม่ประสงค์จะเลือกผู้ใดเป็นตัวตั้ง แล้วหารด้วยจำนวน สส. ทั้งหมด คือ 500 คน ซึ่งจะได้ผลลัพธ์ออกมา แล้วให้ใช้ตัวเลขนั้นเป็นค่าเฉลี่ยของจำนวนประชากรต่อ สส. หนึ่งที่นั่ง
แต่ผลปรากฏก็คือ จนถึงทุกวันนี้ยังไม่มีใครสามารถยืนยันตัวเลขดังกล่าวข้างต้นได้แม้แต่รายเดียว แม้กระทั่ง กกต. แต่ที่น่าตลกก็คือต่างฝ่ายต่างก็คิดค่าเฉลี่ยกันไปอย่างเป็นคุ้งเป็นแคว แล้วก็อ้างตัวเลขนั้นว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ซึ่งต้องบอกว่านับเป็นเรื่องมหัศจรรย์จนเกินบรรยายของสังคมไทย
อีกประเด็นหนึ่งที่คนไทยจำนวนไม่น้อยงุนงงคือ คำว่า สส. พึงมี มีผู้ถามว่ามันคืออะไร ในที่นี้ผู้เขียนขออนุญาตตอบแบบสั้นๆ เพื่อให้คุณที่ยังสับสนอ่านแล้วเข้าใจโดยง่ายว่า จำนวน สส. พึงมีก็คือ การจะคิดคำนวณจำนวน สส. ของพรรคการเมืองใดให้นำคะแนนรวมทั้งประเทศที่พรรคการเมืองนั้นๆ ได้จากการเลือกตั้งจากระบบแบ่งเขตเป็นตัวตั้ง แล้วให้นำตัวเลขที่ได้จากมาตรา 128 (ที่ระบุไว้ในข้างต้น) ซึ่งบางคนก็บอกว่าตัวเลขดังกล่าวคือ 71,065.294 แต่บางคนก็ได้ตัวเลขที่น้อยกว่าบ้าง หรือบางกลุ่มก็ได้มากกว่าบ้าง แล้วจึงนำตัวเลขที่แต่ละฝ่ายได้ไปหาร เมื่อได้ผลลัพธ์ออกมา ก็ถือเป็นจำนวน สส. ที่พรรคการเมืองนั้นๆ ควรจะได้ในการเลือกตั้ง ซึ่งเรียกว่า จำนวน สส. พึงมี
เมื่อทราบตัวเลขสองจำนวนนี้แล้ว ให้นำจำนวน สส. พึงมี ตั้งเป็นตัวตั้งแล้วลบด้วยจำนวน สส. แบบแบ่งเขตทั้งหมดที่พรรคการเมืองนั้นๆ ได้ ผลลัพธ์ที่ออกมาคือจำนวน สส. บัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองนั้นๆ จะได้รับ
แต่ถ้าได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นเศษทศนิยม ในเบื้องต้นก็บอกว่า ยังไม่ต้องนำเศษทศนิยมไปคิดคำนวณด้วย และยังไม่ต้องปัดเศษทศนิยมขึ้นหรือลง แต่ให้นำเฉพาะจำนวนเต็มไปใช้คิดจำนวน สส.บัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคก่อนเป็นอันดับแรก ถ้าหากรวมเรียบร้อยแล้ว แต่ยังได้ สส.บัญชีรายชื่อไม่ครบจำนวน 150 คน จึงให้พรรคการเมืองที่มีเศษทศนิยมเหลือมากที่สุด ให้ได้รับ สส. บัญชีรายชื่อเพิ่มอีกหนึ่งคน คิดเช่นนี้ไปตามลำดับ จนกระทั่งได้ สส.บัญชีรายชื่อครบ 150 คน
แล้วก็เกิดปัญหาตามมาตรงที่ว่าหากเศษทศนิยมของพรรคบางพรรคเท่ากันจะทำอย่างไร ผู้รู้บางรายก็อธิบายว่าให้นำคะแนนรวมทั้งประเทศของพรรคการเมืองนั้นๆ เป็นตัวตั้งแล้วหารด้วยจำนวน สส. พึงมีของพรรคนั้น หากพรรคได้ผลลัพธ์สูงกว่าพรรคอื่น ก็ให้พรรคนั้นได้ สส.บัญชีรายชื่อไป
แต่ปัญหาก็ยังมีอยู่อีกคือ หากคำนวณแล้วพบว่า พรรคการเมืองทุกพรรคได้ สส.บัญชีรายชื่อเกิน 150 คน ผู้รู้ก็บอกว่าต้องคิดคำนวนใหม่ เพื่อปรับจำนวน สส.บัญชีรายชื่อให้เหลือ 150 คนให้ได้ โดยต้องนำจำนวน สส.บัญชีรายชื่อจากแต่ละพรรค แล้วคูณด้วย 150 จากนั้นให้หารด้วย จำนวน สส. บัญชีรายชื่อทั้งหมดที่คิดคำนวนได้ ผลที่ออกมาก็คือจำนวน สส. บัญชีรายชื่อที่พรรคนั้นๆ จะได้รับ แต่ถ้ายังมีเศษทศนิยมอีก ก็ให้กลับไปใช้วิธีคำนวณตามหลักการข้างต้น
ขออภัยที่ต้องกล่าวตรงๆ ว่า มาตรา 128 เป็นกฎหมายที่อ่านแล้วชวนปวดศีรษะจริงๆ แต่ไม่แค่เพียงเท่านั้น เพราะหลายคนอ่านแล้วเข้าใจไม่ตรงกัน เมื่อเข้าใจไม่ตรงกัน ผลการคิดคำนวณที่ออกมาจึงไปกันคนละทิศละทาง ปมปัญหานี้น่าจะเกิดมาจากคนเขียนกฎหมายไม่สามารถใช้ภาษาปกติธรรมดาที่คนทั่วไปอ่านแล้วเข้าใจตรงกันได้ทุกคน แต่บางฝ่ายก็บอกว่าอันที่จริงแล้วเมื่ออ่านมาตรานี้ก็จะเห็นว่ามันไม่ได้ยากจนเกินเข้าใจได้ แต่ปัญหาใหญ่อยู่ตรงที่แต่ละฝ่ายพยายามตีความข้อกฎหมายเพื่อเข้าข้างผลประโยชน์ของตนเอง
เมื่อไรหนอ สังคมไทยจะมีการบัญญัติภาษากฎหมายด้วยภาษาที่ทำให้คนไทยทุกคนอ่านแล้วเข้าใจตรงกันได้โดยทันที ไม่ต้องตีความ หากกฎหมายไทยสามารถเขียนด้วยภาษาที่ทำให้คนไทยทุกคนเข้าใจตรงกันได้เมื่อไร รับรองว่าพวกตะแบงตีความกฎหมายเข้าข้างตนเองจะหมดไป แล้วสังคมไทยก็น่าจะมีความสุขสงบมากกว่าที่เป็นอยู่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี