เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2562 กระทรวงการต่างประเทศของไทย ออกข่าวสารนิเทศ ชี้แจงกรณีการเชิญเอกอัครราชทูตของประเทศที่ส่งผู้แทนเข้าร่วมสังเกตการณ์ การรับทราบข้อกล่าวหาของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่สถานีตำรวจปทุมวัน มาพบหารือที่กระทรวงการต่างประเทศ
เอกอัครราชทูตและอุปทูตที่มาพบ ประกอบด้วย ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร เยอรมนี แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สหรัฐอเมริกา ฟินแลนด์ เบลเยียม และสหภาพยุโรป
เนื้อความระบุว่า ในการพบหารือกับเอกอัครราชทูตหรืออุปทูตรักษาการสถานเอกอัครราชทูตต่างๆ ดังกล่าวนั้น
(1) รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศได้แสดงความผิดหวังและห่วงกังวล ต่อการปรากฏตัวของผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตต่างประเทศที่สถานีตำรวจปทุมวันในช่วงที่นายธนาธรไปรับทราบข้อกล่าวหา โดยเฉพาะการทำให้เกิดภาพที่ถูกตีความได้ว่าเป็นการไปให้กำลังใจแก่นายธนาธรและเป็นการเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในบริบททางการเมืองไทยในปัจจุบัน
(2) การกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งที่เกินเลยภารกิจทางการทูต
(3) เข้าข่ายแทรกแซงกิจการภายในของไทย
(4)ละเมิดหลักปฏิบัติและพันธกรณีทางการทูต ภายใต้อนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูต ค.ศ. 1961 มาตรา 41
(5) จึงขอให้สถานเอกอัครราชทูตดำเนินการเพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก
ในกรณีที่ต่างชาติอาศัยสถานะทางการทูตแสดงออกจุ้นจ้าน ก้าวก่าย ถึงขนาดเข้าไปรับฟังการแจ้งข้อหาของพนักงานสอบสวนของไทยที่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายอาญาไทย กับการกระทำที่เกิดขึ้นในราชอาณาจักรไทย ดำเนินคดีกับคนสัญชาติไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย นายดอน ปรมัตถ์วินัย เคยสื่อสารไปถึงคนไทย ว่าในฐานะเจ้าบ้าน เจ้าของประเทศ จะยอมให้เขาทำอะไรกับประเทศไทยง่ายๆ แบบนี้ได้หรือไม่?
1. สหรัฐแก้ตัวกลับมาว่า การกระทำเช่นว่านั้น เป็นมาตรฐานปฏิบัติทางการทูตปกติของสหรัฐ
ถ้าเช่นนั้น กรณีที่นายจูเลียน อัสซานจ์ ผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์ ถูกตำรวจอังกฤษจับกุมตัว ณ สถานทูตเอกวาดอร์ในกรุงลอนดอน และทางการสหรัฐได้ทำเรื่องเพื่อขอให้มีการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนจากอังกฤษ โดยก่อนหน้านี้ ทางสหรัฐเคยประกาศดำเนินคดีอาญาต่อนายอัสซานจ์ กล่าวหาว่าสมรู้ร่วมคิดในการจารกรรมข้อมูลลับในเครื่องคอมพิวเตอร์ของรัฐบาลสหรัฐ
หากยึดถือมาตรฐานเดียวกันฉันมิตรประเทศ หากทางการประเทศอื่นๆ จะเข้าไปร่วมสังเกตการณ์ นั่งฟังการแจ้งข้อหาของพนักงานสอบสวน การชี้แจงข้อหาของนายอัสซานจ์ รวมถึงการถ่ายรูปเพื่อให้นายอัสซานจ์นำไปใช้แสวงหาผลประโยชน์ในทางการเมือง กดดันการดำเนินคดีของสหรัฐ ย่อมจะสามารถกระทำได้ ใช่หรือไม่?
รวมทั้งการให้ต่างชาติเข้าไปร่วมรับฟังการสอบปากคำผู้ต้องหาในคดีอื่นๆ ที่สังคมโลกสนใจมากมาย เช่น คดีตำรวจฆ่าคนผิวสี คดีก่อการร้ายในสหรัฐ ฯลฯ
หากสหรัฐไม่ยอมให้ต่างชาติเข้าไปก้าวก่าย ก็ควรจะละอายแก่ใจตนเองที่สะแหล๋นเข้าไปก้าวก่ายกิจการภายในของประเทศอื่น
2. อันที่จริง ยังมีกรณีที่สหรัฐถูกกล่าวหาว่าเข้าไปก้าวก่ายกิจการภายในของชาติเอกราชอื่นๆ อย่างเถื่อนๆ ไร้กฎหมายรองรับ ปราศจากความชอบธรรม โดยมุ่งปลายทางที่ผลประโยชน์ส่วนตนของสหรัฐเอง
เอาเฉพาะเมื่อเร็วๆ นี้ เช่น
กรณีเวเนซุเอลา ที่กำลังถูกผลักดันให้เข้าสู่สภาวะสงครามกลางเมือง
กรณีลิเบีย สภาวะสงครามกลางเมือง ประเทศแหลกย่อยยับ
ยังไม่ต้องเอ่ยถึง กรณีอิรัก ซีเรีย และอัฟกานิสถาน ที่มีการใช้โดรนในปฏิบัติการโจมตีทางทหาร
การจัดวางทหารประจำการในพื้นที่คูเวต สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กาตาร์ และบาห์เรน
การใช้โดรนของสหรัฐฯ ในประเทศที่ไม่ใช่พื้นที่สงคราม เช่น เยเมน โซมาเลีย ปากีสถาน
3. อันที่จริง สหรัฐนั้น วางตัวเป็น “ขาเผือก” มาตั้งแต่ระดับนโยบายภายในของตนเองอยู่แล้วก็ว่าได้
พูดง่ายๆ คือ เกิดมาเผือก หรือรัฐบาลสั่งให้มาเผือก
อาจารย์สัญญารัตน์ มีสุวรรณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ วิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้เขียนบทความตีพิมพ์ในมหาวิทยาลัยมหาสารคามวิจัย ครั้งที่ 14 เนื้อหาบางตอนกล่าวถึงยุทธศาสตร์แห่งชาติของอเมริกา ซึ่งประกาศเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ. 2017 เพื่อหาคำตอบเกี่ยวกับเป้าประสงค์และแนวนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาในบริเวณทะเลจีนตะวันออกและผลกระทบต่อประเทศไทย บางตอนให้ข้อมูลด้วยว่า
“..ทรัมป์ประกาศแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติฉบับแรกของตน เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ. 2017 จาก เอกสารดังกล่าว เราอาจระบุเนื้อหาแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติของทรัมป์ ตามลำดับในกฎหมายเสนอรายงาน ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติต่อรัฐสภาข้างต้น ดังนี้
..ผลประโยชน์เป้าหมายและวัตถุประสงค์ต่างๆ บนเวทีโลก ที่มีความสำคัญยิ่งยวดต่อความมั่นคงแห่งชาติ ของสหรัฐฯ” ในส่วนนี้ ทรัมปป์ระกาศว่า ผลประโยชน์สำคัญ เรื่องความเป็นความตาย (vital) ของชาติ อันเป็น “เสาหลัก” ของแผนยุทธศาสตร์ มีสี่ประการ ได้แก่
(ก) “ปกป้องมาตุภูมิ คนอเมริกันและวิถีชีวิตแบบอเมริกัน” เนื่องจากทรัมป์เห็นว่า “ภัยคุกคามข้ามชาติใหญ่สุด” ที่จ้องทำลายมาตุภูมิอเมริกา ได้แก่ “ผู้ก่อการร้ายจีฮัด” ที่ใช้ “อุดมการณ์ชั่วร้าย” เป็นเครื่องมือ เช่น กลุ่มไอซิส และ อัล-เคดา รวมทั้ง “องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่ทำลายประชาคมของเราให้พินาศด้วยยาเสพติดและการใช้ความรุนแรง อีกทั้งบั่นทอนกำลังของพันธมิตรและหุ้นส่วนของเรา ด้วยการทำให้สถาบันประชาธิปไตยบูดเบี้ยว”
(ข) “เพิ่มพูนความไพบูลย์รุ่งเรืองให้อเมริกา”
(ค) “ปกปักรักษาสันติภาพด้วยพลังอำนาจที่เข้มแข็ง”
(ง) “แผ่ขยายอิทธิพลของอเมริกาออกไป...”
ยิ่งกว่านั้น ยังเปิดเผยเอาไว้ด้วยว่า เพื่อบรรลุเป้าหมายจะต้องช่วงชิงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ในต่างประเทศ แผ่ขยายอิทธิพลของอเมริกาออกไป รักษาผลประโยชน์ของอเมริกาต้องมาก่อน ฯลฯ
เพราะฉะนั้น สิ่งสำคัญ คือ คนไทยเราจะต้องรู้เท่าทัน ว่าประเทศเหล่านี้ ไม่ว่าเขาจะทำอะไร นั่นเพราะเขาเล็งเห็นแล้วว่า เป็นผลประโยชน์ต่อตัวเขาเอง แม้ว่าระยะสั้นบางกรณีจะมีคนไทยบางคน บางกลุ่ม อาจรู้สึกว่าตนเองได้ประโยชน์ หรือรู้สึกเท่ รู้สึกกร่างได้ เพราะกูมีมหาอำนาจหนุนหลัง ไม่กลัวใครในประเทศไทยอีกแล้ว!!!
แต่สุดท้ายแล้ว เชื่อหรือไม่ มหาอำนาจเขาก็พร้อมจะเทคนพวกนี้ เสมือนหนึ่งเบี้ยไร้ค่า เพื่อแลกกับการรักษาผลประโยชน์ของชาติเขาเอาไว้ แต่นั่นอาจจะแลกมาด้วยการทำให้ประเทศหลายๆ ประเทศย่อยยับ เกิดสงครามกลางเมือง เหมือนกับกรณีศึกษาหลายๆ ประเทศข้างต้นนั่นเอง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี