ในการทำบุญตามหลักพุทธศาสนานั้น บางคนก็ทำถูกเพราะเข้าใจการทำบุญ และทำด้วยความมั่นใจเพราะเห็นว่าเป็นบุญกุศล หรือเป็นกรรมดี มีความยินดีที่ทำ แม้จะสิ้นเปลืองเหน็ดเหนื่อยอย่างไรก็ทำด้วยความยินดี
แต่บางคนไม่เข้าใจเรื่องบุญหรือหลักการทำบุญ หรือเข้าใจเพียงบางส่วน เพราะไม่ได้ศึกษาให้เข้าใจ เมื่อผู้อื่นบอกให้ทราบหรือบอกให้ทำก็ทำไปอย่างนั้น หรือเห็นเขาทำก็ทำบ้าง แต่ไม่เข้าใจในเรื่องของบุญ หรือเข้าใจเพียงบางส่วน
บางคนทำด้วยความงมงายหรือถูกหลอกลวง เพราะไม่รู้หลักการทำบุญที่ถูกต้อง พุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่จะเข้าใจในเรื่องการให้ทานมากกว่าการทำบุญ แต่ก็มีอยู่ไม่น้อยที่ถูกหลอกลวง หรือให้ทานอย่างผิดหลัก และให้ผลน้อย
การให้ทานในพุทธศาสนานั้น บางครั้งเรียกว่าการบริจาค แต่บางทีก็พูดรวมกันเป็นคำเดียวว่า บริจาคทาน
แท้จริงนั้น ทานหมายถึงการให้ โดยหวังผลตอบแทน เช่นหวังให้ร่ำรวย หรือหวังให้ไปเกิดในสวรรค์ ส่วน “จาคะ” หรือการบริจาคนั้นหมายถึง การสละ คือสละกิเลส สละความตระหนี่ขี้เหนียวของตน สละความเห็นแก่ตัว สละความสุขส่วนตัวเพื่อส่วนรวม
ผลของการให้ทานนั้นมีมาก ให้มนุษย์สมบัติก็ได้ ให้สวรรค์สมบัติก็ได้ นิพพานสมบัติก็ได้ แต่โดยเฉพาะทำให้เป็นคนไม่ยากจน มีทรัพย์สมบัติ มีบริวารมาก และเป็นที่รักของคนทั้งหลาย
แต่สำหรับบุญแล้ว มีหลักแห่งการบำเพ็ญบุญ
บุญมีลักษณะ 3 ประการ คือ 1) เมื่อว่าถึงเหตุของบุญแล้ว บุญได้แก่การทำความดี 2) เมื่อว่าถึงผลของบุญ บุญได้แก่ความสุขความเจริญ และ 3) เมื่อว่าถึงสภาพของจิต บุญได้แก่จิตใจที่ผ่องใส สะอาด
การเข้าใจเรื่องบุญจึงต้องเข้าใจลักษณะของบุญ 3 ประการดังกล่าว ถ้าเข้าใจเพียงลักษณะใดลักษณะหนึ่ง จะได้ชื่อว่ายังเข้าใจเรื่องการทำบุญไม่ตลอด
เช่นคนนี้ทำบุญด้วยการให้ทาน ส่วนคนนั้นทำบุญด้วยการรักษาศีล เป็นต้น ซึ่งถ้าเข้าใจเท่านี้ก็เข้าใจแต่เพียงเหตุของบุญเท่านั้น
บางคนก็เข้าใจบุญเพียงแต่ผลของบุญ เช่นคนนั้นมีความสุขเพราะเขามีบุญ การเข้าใจเพียงเท่านี้ก็เป็นความเข้าใจเพียงผลของบุญเท่านั้น
บางคนเข้าใจบุญเพียงแต่สภาพของจิตที่ผ่องใสเช่น คนนั้นจิตใจของเขาสะอาด มีเมตตากรุณา เพราะเขาเป็นคนใจบุญ การเข้าใจอย่างนี้เป็นการเข้าใจเพียงสภาพของจิตที่ผ่องใสเท่านั้น
เพราะฉะนั้นการทำความเข้าใจในเรื่องบุญในพระพุทธศาสนา จึงมีความจำเป็นต้องเข้าใจในลักษณะของบุญทั้ง 3 ประการดังกล่าวข้างต้น จึงจะได้ชื่อว่าเข้าใจบุญได้หมดและถูกต้อง
หลักแห่งการทำบุญ หรือที่ตั้งแห่งการทำบุญในพระพุทธศาสนา เรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ
มีอยู่ด้วยกัน 10 ประการดังต่อไปนี้
1. บุญเกิดจากการให้ทาน
2. บุญเกิดจากการรักษาศีล
3. บุญเกิดจากการภาวนา
4. บุญเกิดจากการอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่
5. บุญเกิดจากการขวนขวายในกิจที่ชอบ
6. บุญเกิดจากการให้ส่วนบุญ
7. บุญเกิดจากการอนุโมทนาส่วนบุญ
8. บุญเกิดจากการฟังธรรม
9. บุญเกิดจากการแสดงธรรม
10. บุญเกิดจากการทำความเห็นให้ตรง
การทำบุญในพระพุทธศาสนามีเพียง 10 ประการนี้เท่านั้น ไม่ใช่มากไปกว่านี้ ถ้านอกไปจากนี้ไม่ใช่บุญในพระพุทธศาสนา
พูดมาทั้งหมดติดต่อกัน 2 วันในวันสงกรานต์นี้ ก็เพราะเห็นว่าวันหยุดติดต่อกันมาหลายวันในเทศกาลสงกรานต์นี้ เป็นโอกาสอันดีของพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย จะได้ใช้โอกาสนี้เข้าวัดฟังธรรม ทำบุญให้ทานกันบ้าง ไม่ใช่ไปเที่ยวเตร่แต่อย่างเดียว
เพราะ “เมื่อเจ้ามามีอะไรมากับเจ้า เจ้าจะเอาแต่สุขสนุกไฉน เมื่อเจ้าไปเจ้าจะเอาอะไรไป เจ้าก็ไปมือเปล่าเหมือนเจ้ามา”
ขอนำคำสอนของสมเด็จโต วัดระฆัง มาส่งท้าย
เรื่องที่นำมาพูดสู่กันฟังในวันสงกรานต์ดังกล่าวนี้ ได้รวบรวมมาจากหนังสือกฎแห่งกรรมของพระเทพวิสุทธิกวี
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี