ผลการเลือกตั้งที่ไม่เป็นทางการตามที่เป็นข่าวมาตั้งแต่หลังวันเลือกตั้งทั่วไปซึ่งก่อให้เกิดสูตรทางการเมืองต่างๆ มากมายหลายสูตร มาถึงวันนี้บรรดาสูตรทั้งหลายต่างพากันไปไม่เป็น เพราะสถานการณ์เมื่อมาถึงวันนี้ได้เกิดความไม่แน่ชัดเกิดขึ้นมากมาย ซึ่งเป็นพิษโดยตรงของการร่างรัฐธรรมนูญ 2560
ที่สำคัญคือการจัดสรร สส. แบบบัญชีรายชื่อให้แก่พรรคการเมืองต่างๆ ที่เคยมีข่าวปรากฏว่ามีการจัดสรรให้แก่พรรคเล็กพรรคน้อยถึง 28 พรรค ซึ่งจำนวนกว่าครึ่งจะเป็นพรรคที่ไม่มี สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง และมีประชาชนลงคะแนนเสียงให้รวมกันแล้วแค่ระดับ 30,000 คนขึ้นไป แต่ไม่ถึง 70,000 คน
มิหนำซ้ำ ยังมีข่าวว่ามีการจัดสรร สส. แบบบัญชีรายชื่อให้แก่พรรคการเมืองที่มี สส.แบบเขตเลือกตั้งเกินไปกว่าจำนวน สส. ที่พึงมีอีกด้วย นอกจากนั้น ยังมีข้อท้วงติงเกี่ยวกับหลายกรณีที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายเลือกตั้ง กระทั่งมีการดำเนินกระบวนการขอให้ ป.ป.ช. ไต่สวนเพื่อถอดถอน กกต. ทั้งหมด รวมทั้งการดำเนินกระบวนการขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินวินิจฉัยว่าการเลือกตั้งเป็นโมฆะ และส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้เป็นโมฆะด้วย
หนักกว่านั้นก็มีกระบวนการที่กำลังดำเนินคดีกับ กกต. ในทางอาญา ทั้งในส่วนที่ตอบโต้การที่ กกต. บางคนไปแจ้งความหาว่ามีการดูหมิ่น และในส่วนที่ผู้เสียหายหรือผู้ที่เห็นว่าเกิดความเสียหายขึ้นแล้วไปกล่าวโทษหรือร้องทุกข์ หรือจะฟ้องคดีอาญาเองตามที่กฎหมายบัญญัติอีกมากมายหลายคดี
ดูประหนึ่งแล้วไม่ต่างอะไรกับเมฆดำทะมึนที่กำลังเคลื่อนตัวมาในท้องทะเล ซึ่งผู้มีประสบการณ์ก็ย่อมเห็นได้ชัดว่า พายุใหญ่ คลื่นใหญ่ กำลังเคลื่อนตัวใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว จึงทำให้ความไม่แน่นอนมากหลายเกิดขึ้น
กกต. เองก็เริ่มได้รับข้อเสนอจากมากทิศหลายทางเพื่อให้การดำเนินการเลือกตั้งครั้งนี้สามารถสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ดังเช่นล่าสุดประธาน กกต. ได้แสดงท่าทีว่ากรณีอาจมีความจำเป็นที่จะต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการจัดสรร สส.แบบปาร์ตี้ลิสต์จะต้องจัดสรรอย่างไรจึงจะชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย
หลังจากที่ได้เสียเวลาไปมากมาย จากความพยายามที่จะให้ กกต. ต้องยึดถือเจตนารมณ์ของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญว่าในการร่างรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องนั้นมีเจตนารมณ์อย่างไร ถึงกับมีการเอารายงานการประชุมและการอภิปรายในที่ประชุมมายืนยันว่าเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและกฎหมายเป็นอย่างนี้ ซึ่งระยะแรกก็ดูเหมือนว่าหลายคนจะหลงใหลตามไปด้วย
แต่ในที่สุดทั้งนักวิชาการและสังคมก็รุมกันท้วงติงว่าประเทศไทยมีระบบกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร การบังคับใช้กฎหมายต้องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ ถ้ากฎหมายชัดเจนแล้วก็ต้องปฏิบัติไปตามนั้น ในกรณีที่ไม่ชัดเจนและมีบทบัญญัติของกฎหมายให้สันนิษฐานว่าอย่างไรก็ต้องสันนิษฐานไปตามนั้น หากไม่มีข้อสันนิษฐานทางกฎหมายก็ต้องดูเจตนารมณ์ของกฎหมายประกอบ
และเจตนารมณ์ของกฎหมายนั้นไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของใคร และไม่มีใครที่จะแอบอ้างว่าตนหรือองค์กรใดเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งเจตนารมณ์ของกฎหมาย หรือที่จะชี้ขาดว่าเจตนารมณ์ของกฎหมายเป็นอย่างไร เพราะนั่นเป็นการตู่เอาโดยผิดกฎหมาย และไม่มีกฎหมายใดยอมรับนับถือเช่นนั้นเลย แต่ก็มีคนจำพวกหนึ่งที่ตั้งตนเป็นกฎหมายและถือตนหรือพวกตนเป็นเจ้าของเจตนารมณ์แห่งกฎหมาย กระทั่งบางกรณีก็ถูกกล่าวหาว่าอาศัยแบบนี้แหละไปทำมาหากินกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย
อันเจตนารมณ์ของกฎหมายนั้นมีหลักในการหยั่งทราบเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ชัดเจนเป็นบรรทัดฐานปฏิบัติมาตั้งแต่ประเทศไทยได้ใช้กฎหมายระบบลายลักษณ์อักษรแล้ว คือต้องหยั่งทราบเจตนารมณ์ของกฎหมายจากบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั่นเอง ถ้าตัวบทกฎหมายโดยตรงไม่ชัดเจนก็ต้องเทียบเคียงกับบทกฎหมายใกล้เคียงกันหรือที่เกี่ยวเนื่องกัน หรือกับกฎหมายที่มีลักษณะเดียวกันเพื่อหยั่งทราบถึงเจตนารมณ์ของกฎหมาย ก็จะทราบเจตนารมณ์ได้ชัด
แต่ถ้ากรณีใดที่ดำเนินการดังกล่าวแล้วยังไม่สามารถหยั่งทราบเจตนารมณ์ของกฎหมายก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย คือเป็นอำนาจตุลาการคืออำนาจของศาลที่จะพิจารณาวินิจฉัยว่ากฎหมายบัญญัติว่าอย่างไร และถ้าในกรณีเป็นรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ก็เป็นอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ
ดังนั้นในกรณีที่ กกต. ถ้าหากว่าไม่มั่นใจในการตีความกฎหมายตามลายลักษณ์อักษรและไม่สามารถหยั่งทราบเจตนารมณ์ของกฎหมายได้ กกต. ก็ต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในปัญหานี้ ไม่ชอบที่จะไปฟังเสียงข้างทางที่ไม่ได้รับผิดชอบอะไร เพราะถ้าหากผิดพลาดไป กกต. นั่นแหละที่จะต้องรับผิดชอบโดยตรงทั้งทางแพ่งและทางอาญา โดยพวกที่ออกความเห็นเหล่านั้นจะไม่มาร่วมติดคุกหรือชดใช้ค่าเสียหายด้วยแต่ประการใด
กรณีที่เกิดขึ้นจึงทำให้เกิดปัญหาสับสนวุ่นวายว่าพรรคการเมืองต่างๆ จะมี สส.กี่คนกันแน่แม้ว่าจะยังไม่เป็นทางการก็ตาม และแม้ว่าตัวเลขยังไม่เป็นทางการแต่ก็เกิดการเคลื่อนไหวในบรรดาพรรคการเมืองทั้งหลายกันอย่างคึกคักในการจัดตั้งรัฐบาล
ที่สำคัญคือ มีการตั้งความหวังในการจัดตั้งรัฐบาลไว้กับงูเห่า คือ สส.ที่หากจะมีขึ้นในวันหน้าที่จะทรยศต่อพรรคที่สังกัดเดิม ทรยศต่อความเชื่อถือของประชาชนที่ลงคะแนนให้ ด้วยความเชื่อว่าเป็นผู้สมัครของพรรคการเมืองนั้นๆ แล้วจะดำเนินนโยบายตามที่พรรคนั้นได้แถลง แต่แล้วกลับมาทรยศต่อประชาชนและพรรคการเมือง เพื่อการจัดตั้งรัฐบาล
ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับก๊กการเมืองใดก็ตาม แต่นั่นคืออันตรายร้ายแรงของบ้านเมือง เพราะคนเรานั้นลงว่าได้ทรยศต่อประชาชน ทรยศต่อพรรคการเมืองที่สังกัดเพื่อแสวงลาภยศและอามิสเป็นที่หมายแล้ว จะหวังความดีความงามกระไรได้
นั่นคือลัทธิงูเห่าที่กำลังถูกฟูมฟักขึ้นมา และพร้อมที่จะกัดชาวนาให้ตายได้อย่างเลือดเย็น และนี่ก็คือพิษร้ายอีกประการหนึ่งที่แฝงฝังอยู่ในรัฐธรรมนูญ 2560!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี