“แนวหน้า”ฉบับเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมเขียนเรื่อง ไฟฟ้ากับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยเน้นไปที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) หรือ PEA ซึ่ง ดร.สุเมต สุวรรณพรหม วิศวกร กฟภ.ให้ข้อมูลผมมา
ช่วงนี้ผมยังตะลอนสงกรานต์อยู่ในหลายจังหวัด ขอนำข้อมูล จากผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานอีกท่านหนึ่ง อีกแง่มุมหนึ่ง มาเล่าสู่กันฟังว่า
เข้าช่วงเดือนเมษายนทีไร คนไทยต้องตื่นตัวกับการรณรงค์ประหยัดไฟฟ้ากันทุกครั้ง สาเหตุเพราะเป็นช่วงที่แหล่งก๊าซธรรมชาติในเมียนมา คือ แหล่งยาดานา ปิดซ่อมบำรุงประจำปี ส่งผลให้ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ต้องเตรียมพร้อมรับมือเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการใช้ไฟฟ้าของคนไทย โดยการลดการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติฝั่งตะวันตก ได้แก่โรงไฟฟ้าราชบุรี โรงไฟฟ้าราชบุรีเพาเวอร์ และโรงไฟฟ้าไตรเอนเนอร์ยี่ แล้วหันมาเพิ่มการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าพระนครใต้ ชุดที่ 3 ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติจากฝั่งอ่าวไทยมาทดแทน เพื่อรักษาความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในกรุงเทพมหานคร
โรงไฟฟ้าบางปะกง ก็ใช้น้ำมันปาล์มของพี่น้องชาวสวนปาล์มในการผลิตไฟฟ้าด้วย
มีคำถามว่าทำไม “ยาดานา” จึงมีความสำคัญ?
เพราะถึงแม้ว่าก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าร้อยละ 70 จะมาจากการผลิตได้ภายในประเทศ แต่อีกร้อยละ 30 ต้องพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ ใน 2 รูปแบบ คือ ร้อยละ 16 นำเข้าในรูปของก๊าซธรรมชาติเหลว(LNG) และอีกร้อยละ 14 นำเข้าจากเมียนมา แบ่งเป็นจากแหล่งยาดานา ร้อยละ 8 แหล่งเยตากุน ร้อยละ 3 และแหล่งซอติก้า ร้อยละ 3
จึงไม่น่าแปลกใจว่า เมื่อใดแหล่งก๊าซธรรมชาติในเมียนมา มีการปิดซ่อมแซมก็จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางพลังงาน และต้องปรับแผนการผลิตไฟฟ้ากันทุกปี
ขณะเดียวกัน ในแต่ละปีไทยยังพึ่งพาการนำเข้าไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านเพื่อความมั่นคงทางด้านไฟฟ้าถึง 3,877.6 เมกะวัตต์ (ข้อมูล : กฟผ. เดือนมิถุนายน 2561) โดยส่วนใหญ่เป็นการซื้อไฟฟ้าจากลาว ที่เหลือเป็นมาเลเซีย และล่าสุด เมื่อไม่นานนี้ นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รมว.พลังงาน ก็ได้ไปร่วมงานแถลงข่าวการเปิดเดินเครื่องกำเนิดไฟฟ้าหน่วยที่ 1 โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี ร่วมกับ รมว.พลังงานและบ่อแร่ ของลาว ที่มีเป้าหมายจะส่งไฟฟ้ากลับมาขายยังประเทศไทยในสัดส่วนร้อยละ 92.50 ของไฟฟ้าที่ผลิตได้
ทั้งนี้ ต้องยอมรับความจริงว่า ปัจจุบันความมั่นคงทางด้านพลังงานเป็นสิ่งสำคัญ หากเกิดกรณีไฟฟ้าดับย่อมส่งผลกระทบไปในหลายมิติ อย่างเช่น ในอดีตเพียงแค่เกิดเหตุฟ้าผ่าสายส่งไฟฟ้าแรงสูง 500 กิโลวัตต์ น่าน-หงสา ในพื้นที่ลาว เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2561 เป็นผลให้กำลังผลิตไฟฟ้าที่ส่งให้ระบบไฟฟ้าของไทย ขาดหายไปจำนวน 1,300 เมกะวัตต์ และเกิดไฟดับในภาคอีสาน จนมาถึงภาตตะวันออก แค่นั้นก็สร้างความตื่นตระหนกและความเสียหายทางเศรษฐกิจมูลค่ามหาศาล หลายโรงงานต้องหยุดเดินเครื่องจักร จนไลน์การผลิตเสียหาย
ดังนั้น การสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานของประเทศจึงถือเป็นเรื่องสำคัญ ที่ไม่เพียงแต่การสร้างความมั่นคงทางด้านไฟฟ้า ยังรวมไปถึงความจำเป็นในการเสาะหาแหล่งพลังงานใหม่ๆ ภายในประเทศ เพื่อลดการพึ่งพาแหล่งก๊าซจากต่างประเทศ โดยเฉพาะการเตรียมเปิดประมูลสัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่ ซึ่งถือเป็นนโยบายสำคัญที่ รมว.พลังงานคนปัจจุบันได้ฝากให้รัฐบาลชุดใหม่ที่กำลังจะเข้ามาบริหารประเทศดำเนินการสานต่อ
“การเดินหน้าเปิดประมูลสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบใหม่ ถือเป็นโจทย์สำคัญที่รัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศจะต้องดำเนินการ เนื่องจากไทยจำเป็นต้องมีแหล่งก๊าซธรรมชาติเพื่อความมั่นคงทางด้านพลังงานของประเทศ โดยการประมูลจะช่วยให้ไทยได้ราคาก๊าซที่ถูกลง ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าไม่แพงเกินไปในอนาคต”
ที่ผ่านมาสร้างความมั่นคงทางพลังงาน ด้วยความพยายามยืนอยู่บนลำแข้งตัวเองในบ้านเรากลายเป็นเรื่องยาก เพราะมีการคัดค้าน อย่างกรณีของโรงไฟฟ้ากระบี่ โรงไฟฟ้าเทพา ที่ถูกต่อต้านจนต้องชะลอโครงการออกไป หรือกรณีการเปิดสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติไม่สามารถเปิดประมูลรอบใหม่มายาวนานนับ 10 ปี
อย่าลืม ไทยมีความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นทุกปี แค่ไฟดับชั่วโมงเดียวก็เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจมหาศาล จึงต้องหาทางว่าและทำอย่างไรไทยจึงจะลดการพึ่งพาจมูกคนอื่นมาหายใจ โดยให้เกิดการพัฒนาโรงไฟฟ้า และเสาะหาแหล่งปิโตรเลียมใหม่ๆเพื่ออนาคตความมั่นคงทางพลังงานที่ยืนอยู่ได้บนขาของตัวเอง
ครับ อ่านข้อมูลผมแล้วก็เป็นห่วงเรื่องอนาคตพลังงานของไทย เหมือนที่ผ่านผู้อ่านเป็นห่วงกัน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี