คงต้องรอให้ถึงวันที่ 9 พ.ค. กว่าที่เราจะพอคาดเดารูปร่างของรัฐบาลชุดใหม่ได้ แต่ระหว่างนั้นก็ยังมีหลายกระแสที่เชื่อว่า ด้วยสถานการณ์รุมเร้าที่เกิดขึ้นกับ กกต. ทั้งเรื่องเส้นตายการประกาศผล รวมถึงการคำนวณเก้าอี้บัญชีรายชื่อที่เรื่องอาจจะต้องไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ เหล่านี้กลายเป็นความกังวลจากหลายฝ่ายว่าทุกอย่างอาจล่าช้าไปจนไม่ทันกำหนดเดิม?
จะเกิดอะไรขึ้นในวันที่ 9 พ.ค. ซึ่งจะเป็นวันสุดท้ายของการประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ? หาก กกต. ยังประกาศผลไม่ได้หรือการคำนวณจำนวน สส. บัญชีรายชื่อที่ กกต. ก็ยังให้คำตอบไม่ได้จนเรื่องไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ จนมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดผลบางอย่างต่อผลการเลือกตั้ง? โดยหากปัญหาเหล่านี้ไม่คลี่คลายก่อนเส้นตายประกาศผลจริง หลายฝ่ายประเมินว่าอย่างน้อยการประกาศผลอาจล่าช้ากว่าเดิม? ซึ่งจะยังผลให้รัฐบาลชุดปัจจุบันที่มีอำนาจเต็มได้ต่ออายุการบริหารประเทศออกไปอีก ตามที่ พ.ร.ป. เลือกตั้ง พ.ศ. 2561 มาตรา 127 ได้ให้อำนาจไว้ ในกรณีที่มีเหตุให้ต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ในเขตที่มีปัญหา ซึ่งถ้าหากมีหลายเขต ก็อาจทำให้ กกต. ไม่สามารถประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการได้? ซึ่งก็จะทำให้รัฐบาลและ สนช. ยังคงสภาพต่อไปหรือไม่?
ก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่เมื่อมองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นควบคู่ไปกับการดำเนินนโยบายในช่วงนี้ของรัฐบาล คสช.? เพราะในขณะที่รัฐบาลใหม่ยังไม่สามารถจัดตั้งได้ กลับกันในฟากรัฐบาลชุดปัจจุบัน ตั้งแต่หลังวันที่ 24 มี.ค. เป็นต้นมา กลับมีการส่งสัญญาณในการตัดสินใจของ ครม. ชุดปัจจุบัน ในการดำเนินนโยบายบริหารประเทศ ซึ่งแม้ รธน. จะให้อำนาจรัฐบาลปัจจุบันดำเนินการโดยมีอำนาจเต็มในการบริหารประเทศ แต่ในห้วงเวลาประเทศไทยได้ผ่านการเลือกตั้งแล้ว ก็ดูจะเป็นเรื่องที่ผิดธรรมชาติหรือไม่? ที่รัฐบาลยังคงมีการตัดสินใจในโครงการใหญ่ๆ ที่จะมีความเกี่ยวพันต่ออนาคต ที่ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนฉุกเฉิน? เพราะตามครรลองในการบริหารประเทศ เรื่องเหล่านี้ควรจะต้องรอรัฐบาลใหม่หรือไม่? เหตุใด ครม. จึงตัดสินใจเช่นนี้?
จากกระแสข่าวที่รัฐมนตรีใน ครม. ได้ออกมาเปิดเผยถึงความคืบหน้าของโครงการขนาดใหญ่ และการให้สัมปทาน ที่เริ่มมีการจัดคิวโปรเจกท์เสนอครม.อยู่นั้น ก็ยังเป็นที่น่าจับตาว่าก่อนสิ้นสุดรัฐบาลชุดนี้จะมีการอนุมัติโครงการต่างๆ เพิ่มขึ้นอีกกี่โครงการ? และจะส่งผลอย่างไรในรัฐบาลชุดต่อไป? อย่างกรณีการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายทั้ง 3 สาย ที่รัฐบาลชุดใหม่ต้องเข้ามาสานต่อจากรัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งแน่นอนว่าการคมนาคมเป็นเรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน ที่ทุกรัฐบาลให้ความสำคัญ แต่ความสำคัญนั้นมากพอจะเป็นเรื่องเร่งด่วนให้เร่งอนุมัติในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาลหรือไม่? เพราะคงจะเป็นการดีกว่า ที่โครงการต่างๆ จะผ่านความเห็นชอบได้โดยรัฐบาลภายใต้สภาใหม่ที่จะเกิดขึ้นนี้? ซึ่งจะทำให้สามารถตรวจสอบโดยประชาชนได้ดีขึ้น นอกจากนั้นยังมีเรื่องของการเร่งเจรจาสัมปทานทั้ง ทางด่วน เขตสินค้าปลอดอากร และโครงการรถไฟความเร็วสูง เพื่อเตรียมเสนอครม. นั้น หลายฝ่ายบางคนอาจตั้งข้อสังเกตได้ถึงเหตุผลต่างๆ นานา ของการเร่งให้เกิดสัมปทานในช่วงนี้?
หลังผ่านการเลือกตั้งไม่กี่สัปดาห์ ที่ประชุมครม.ก็มีมติเห็นชอบให้มีการอนุมัติรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณเริ่มใหม่และเปลี่ยนแปลงการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ภายใต้โครงการ EEC เพื่อให้กองทัพเรือสามารถดำเนินการตามโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก และโครงการพัฒนาท่าเรือพาณิชย์สัตหีบกองทัพเรือ ให้พร้อมเปิดบริการได้ภายในปี 2567 ซึ่งก็ตามมาด้วยข้อวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่ายที่มองว่าการอนุมัติในโครงการต่างๆ ในตอนนี้นั้นไม่ใช่เรื่องจำเป็นอะไรที่จะต้องทำอย่างเร่งด่วน? และเป็นเรื่องที่สามารถรอให้มีการจัดตั้งรัฐบาลก่อน จึงค่อยดำเนินการได้? ดังนั้นก็เป็นเรื่องน่าคิดว่า มีเหตุอันได้ให้รัฐบาล คสช. ต้องเร่งเครื่องอนุมัติโครงการดังกล่าวให้ได้?
ไม่นานมานี้ คณะรัฐมนตรีก็ได้มีมติแก้ไขพ.ร.บ. ร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน ซึ่งก็ได้มีผลบังคับใช้ก่อนการเลือกตั้งไม่กี่วัน และเป็นช่วงที่มีการออก พ.ร.ฎ. การเลือกตั้งแล้ว โดยสิ่งที่เป็นข้อสังเกตคงเป็นการแก้ไขในเรื่องการตรวจสอบและป้องกันการทุจริตในการดำเนินโครงการลงทุนร่วม โดยมีการปรับวงเงินของโครงการที่เข้าข่ายการตรวจสอบและพิจารณาจากเดิมที่ 1,000 ล้านบาท ไปเป็น 5,000 ล้านบาท จึงจะเข้าข่ายการพิจารณา นั่นแปลว่าโครงการต่างๆ จะเข้าสู่การตรวจสอบได้ยากขึ้นหรือไม่? ซึ่งก็เป็นเรื่องให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นการแก้ข้อกฎหมายที่อาจขัดกับเจตนารมณ์เดิม? และอาจเปิดช่องทางลัดให้รัฐวิสาหกิจอย่างการท่าอากาศยานไทย ที่อยู่ระหว่างการดำเนินการประมูลโครงสร้างร้านค้าปลอดอากรโครงการร้านค้าเชิงพาณิชย์ ซึ่งแต่เดิมเข้าข่ายการเป็นการดำเนินการที่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบโดยคณะกรรมการตาม พ.ร.บ. ฉบับเดิม แต่ภายใต้กฎหมายที่พึ่งได้รับการแก้ไขนี้จะทำให้โครงการดังกล่าวไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบตาม พ.ร.บ. ได้ ซึ่งก็น่าคิดว่าเบื้องหลังของการแก้ไขกฎหมายนี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับโครงการของการท่าอากาศยานไทยหรือไม่? และมีความเกี่ยวพันกันหรือไม่ กับการดำเนินการของรัฐบาล และ สนช. ที่ช่วงหลังมานี้หลายคนเห็นว่าเร่งรีบเสียเหลือเกิน?
ทั้งนี้ แม้จะไม่มีใครปฏิเสธการทำหน้าที่ของรัฐบาลปัจจุบันที่ดำรงไว้ซึ่งอำนาจเต็มในการบริหารประเทศสำหรับประเด็นสำคัญของบ้านเมือง เช่น เรื่องที่เกี่ยวกับพระราชพิธีฯ รวมถึงเรื่องฉุกเฉินต่างๆ ในกรณีที่หากเกิดกรณีอันเป็นเหตุให้ไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับเรื่องอื่นที่อาจส่งผลต่อการบริหารประเทศในระยะยาวและไม่ใช่เรื่องฉุกเฉิน ก็เป็นเรื่องที่ประชาชนตั้งคำถามว่าเหตุใด ตั้งแต่ต้นเดือนเม.ย. เป็นต้นมา รัฐบาลถึงยังดำเนินการในลักษณะเช่นนี้ต่อ? แม้จะมีการหยุดพักไปตั้งแต่ช่วงที่ 4 รัฐมนตรีลาออกเพื่อเข้าสู่การเมืองเต็มตัว? หลายคนก็ตั้งคำถามว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสัญญาณบางอย่างถึงความมั่นใจของรัฐบาลปัจจุบันถึงการคงอยู่ของสถานะที่ยังหารัฐบาลใหม่ไม่ได้ ส่งผลให้รัฐบาล คสช. ยังมีอำนาจเต็มต่อไปในระยะยาวมากกว่าที่คิด? หรือเป็นความมั่นใจว่าได้มีการจับมือกันเรียบร้อยแล้วของพรรคการเมืองฝ่ายต่างๆ จนทำให้แนวร่วมพรรคพลังประชารัฐมีเสียงเกิน 250 จริงๆ อย่างที่มีกระแสข่าวออกมา?
หลายฝ่ายก็คาดการณ์ว่า การเร่งเดินเครื่องนโยบายในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ อาจเกี่ยวพันกับความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นกับรัฐบาลชุดหน้า?ที่ถึงแม้พรรคพลังประชารัฐจะมีโอกาสเป็นแกนนำ? แต่การจัดแถวในครม.รอบใหม่ ที่จะถึงนี้คงไม่ง่ายเหมือนกับในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา? เพราะจำเป็นต้องเอื้อเก้าอี้ให้กับพรรคร่วมและพรรคเล็กอีกจำนวนมาก? จึงอาจส่งผลไปถึงเงื่อนไขในการตัดสินใจในโครงการลงทุนของรัฐที่เป็นโครงการใหญ่และเป็นโครงการต่อเนื่อง อาทิ เมกะโปรเจกท์รถไฟฟ้าและ โครงการอีอีซี ? โดยเฉพาะในหลายโครงการที่เป็นแนวการลงทุนร่วมรัฐ – เอกชน? อาจทำให้การตัดสินใจภายใต้รัฐบาลร่วมที่มีรัฐมนตรีจากหลายพรรคเข้ามานั่งแทรกในกระทรวงสำคัญทางเศรษฐกิจมิอาจดำเนินไปได้อย่างราบรื่นเหมือนเช่นที่เคยเป็นมา? จึงจำเป็นที่รัฐบาล คสช. จะต้องเร่งตัดสินใจดำเนินการภายใต้ช่องว่างทางกฎหมายที่เปิดให้รัฐบาลชุดนี้สามารถดำเนินการแบบมีอำนาจเต็ม ไม่ใช่ในฐานะรัฐบาลรักษาการหรือไม่?
ในขณะที่พรรคการเมืองต่างๆมัวแต่ไปวุ่นกับเรื่องผลคะแนนและคดีต่างๆ ทั้งที่เกี่ยวและไม่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง กลับกันนอกจากเราจะไม่ได้เห็นพรรคใดออกมาพูดเรื่องเศรษฐกิจและปากท้องประชาชนแล้ว? พรรคต่างๆ ก็ยังไม่ได้สังเกตหรือติดตามว่าการจัดตั้งรัฐบาลที่ล่าช้าเช่นนี้จะนำไปสู่อะไรบ้าง?
“…ขอเพียงมีการเลินเล่อประการเดียว ก็เพียงพอกับการล้มล้างแผนการที่วางไว้…”
คำคมโกวเล้ง จากเรื่องเล็กเซี่ยวหงส์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี