ผมเคยเขียนบทความพร้อมข้อเสนอแนะการแก้ไขไว้ในหลายบทความในกรณีที่พบว่าสภานิติบัญญัติแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีได้มีการกระทำที่เข้าข่ายผิดรัฐธรรมนูญโดยร่วมกันในการแปรญัตติลดหรือตัดทอนรายจ่ายตามข้อผูกพันที่ตั้งไว้ในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๐ และคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้นำไปจัดสรรเพิ่มขึ้นในงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นว่าถ้าไม่รีบดำเนินการแก้ไขในชั้นที่กฎหมายยังไม่มีผลบังคับใช้ จะเกิดปัญหาความรับผิดรัฐธรรมนูญตามมาภายหลัง
แต่ข้อเสนอแนะดังกล่าวไม่ได้รับการไยดีหรือแม้จะชี้แจงออกมาแต่ประการใด กรณีนี้นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังทราบดี เพราะเป็นประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญในการพิจารณาร่างกฎหมายงบประมาณปี ๒๕๖๐ ที่มีการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
บัดนี้ แม้จะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่การกระทำความผิดนั้นสำเร็จเด็ดขาดไปแล้วแต่ยังคงเป็นความผิดอยู่จนถึงปัจจุบันและเมื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่เข้ามารับหน้าที่เมื่อใด และจะมีการเสนอให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ก็ตาม กรณีที่มีการกระทำฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญนี้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ไม่สนับสนุนให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีเข้าชื่อกันได้หนึ่งในสิบหรือจำนวน ๕๐ คน ส่งกรณีที่กระทำฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในประเด็นที่ผมจะแยกแยะวิเคราะห์ให้เห็นต่อไป
แต่ในชั้นนี้ขอนำมาตรา ๑๔๔ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาให้ท่านอ่านกันก่อนเพราะมาตรานี้ยาวมากมีทั้งในส่วนที่เป็นบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับเดิมและมีหลายวรรคหลายตอนที่เพิ่มเติมความรับผิดเข้ามาใหม่ที่ผมได้ “หมายเหตุ” ไว้ในท้ายวรรคนั้นแล้ว
มาตรา ๑๔๔ ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม และร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะแปรญัตติเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขเพิ่มเติมรายการหรือจํานวนในรายการมิได้ แต่อาจแปรญัตติในทางลดหรือตัดทอนรายจ่ายซึ่งมิใช่รายจ่ายตามข้อผูกพันอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(๑) เงินส่งใช้ต้นเงินกู้
(๒) ดอกเบี้ยเงินกู้
(๓) เงินที่กําหนดให้จ่ายตามกฎหมาย
ในการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือคณะกรรมาธิการ การเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทําด้วยประการใดๆ ที่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภาหรือกรรมาธิการ มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย จะกระทํามิได้
หมายเหตุ มาตรา ๑๔๔ วรรคหนึ่งและสองนี้ได้เคยบัญญัติมาแล้วตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี ๒๕๒๑-๒๕๔๐ และ ๒๕๕๐
“.... ในกรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา มีจํานวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา เห็นว่ามีการกระทําที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติตามวรรคสอง ให้เสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณา และศาลรัฐธรรมนูญต้องพิจารณาวินิจฉัยให้แล้วเสร็จ ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับความเห็นดังกล่าว ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามีการกระทําที่ฝ่าฝืน บทบัญญัติตามวรรคสอง ให้การเสนอการแปรญัตติ หรือการกระทําดังกล่าวเป็นอันสิ้นผล ถ้าผู้กระทําการดังกล่าวเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา ให้ผู้กระทําการนั้นสิ้นสุดสมาชิกภาพนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคําวินิจฉัย และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้น แต่ในกรณีที่คณะรัฐมนตรี เป็นผู้กระทําการหรืออนุมัติให้กระทําการหรือรู้ว่ามีการกระทําดังกล่าวแล้วแต่มิได้สั่งยับยั้ง ให้คณะรัฐมนตรี พ้นจากตําแหน่งทั้งคณะนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคําวินิจฉัย และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ของรัฐมนตรีที่พ้นจากตําแหน่งนั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้อยู่ในที่ประชุมในขณะที่มีมติ และให้ผู้กระทําการดังกล่าวต้องรับผิดชดใช้เงินนั้นคืนพร้อมด้วยดอกเบี้ย
หมายเหตุ ความในวรรคสาม ตั้งแต่คำว่า “....ถ้าผู้กระทำ....ถึง....ชดใช้เงินคืนพร้อมด้วยดอกเบี้ย” และวรรคต่อๆ ไปจนจบมาตรานี้เป็นบทบัญญัติใหม่ เพิ่งเติมมาในรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ นี้ ที่ได้กำหนดโทษการกระทำที่ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญของสมาชิกสภาและคณะรัฐมนตรีถึงขั้นถูกถอดออกจากตำแหน่งและถูกตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต
“.... เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดจัดทําโครงการหรืออนุมัติหรือจัดสรรเงินงบประมาณโดยรู้ว่ามีการดําเนินการ อันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง ถ้าได้บันทึกข้อโต้แย้งไว้เป็นหนังสือหรือมีหนังสือ แจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบ ให้พ้นจากความรับผิด
การเรียกเงินคืนตามวรรคสามหรือวรรคสี่ ให้กระทําได้ภายในยี่สิบปีนับแต่วันที่มีการจัดสรรงบประมาณนั้น
ในกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติได้รับแจ้งตามวรรคสี่ ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติดําเนินการสอบสวนเป็นทางลับโดยพลัน หากเห็นว่ากรณีมีมูล ให้เสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อดําเนินการต่อไปตามวรรคสาม และไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติและศาลรัฐธรรมนูญ หรือบุคคลใดจะเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผู้แจ้งมิได้”
จะเห็นได้ว่ามาตรา ๑๔๔ นี้มีความยาวมากมีถึงหกวรรค ผมจึงได้นำมาให้ศึกษาอ่านกันก่อนที่จะพิจารณาต่อไปว่า คณะกรรมาธิการวิสามัญ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรัฐมนตรี ได้มีการกระทำที่ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๔๔ อย่างไร? จะต้องรับผิดประการใดบ้าง ?
อนึ่ง มีประเด็นสำคัญตามมาในกรณีที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เกิดได้เป็นนายกรัฐมนตรีเพราะมีสมาชิกวุฒิสภา ๒๕๐ สนับสนุนและท่านมีหน้าที่จะต้องเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๓ ที่มีวงเงินถึง ๓.๒ ล้านล้านบาท ขาดดุลถึง ๔๕๐,๐๐๐ ล้านบาท ที่ท่านได้ทำไว้แล้วเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่ แต่ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๑๔๓ และ ๑๔๔ ที่สมาชิกวุฒิสภา ๒๕๐ คน ที่สนับสนุนให้ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีได้นั้น ไม่มีอำนาจที่จะสนับสนุนท่านได้ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายในชั้นรับหลักการ การแปรญัตติในวาระที่ ๑ ๒ และ ๓ เพราะต้องพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๒ เท่านั้น เมื่อผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว จึงเสนอต่อวุฒิสภาที่มีอำนาจจำกัดเพียง “ให้ความเห็นชอบหรือไม่ให้ความเห็นชอบ” เท่านั้น โดยจะแก้ไขเพิ่มเติมใดๆ มิได้ และต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน ๒๐ วัน
แต่ขณะนี้กำลังมีการบิดเบือนที่ฉกรรจ์ โดยจะอ้าง ตะแบงนำบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๗๐ เพื่อให้สมาชิกวุฒิสภา ๒๕๐ มาร่วมพิจารณาลงมติกับสภาผู้แทนราษฎร เพื่อจะได้ช่วยสนับสนุนให้กฎหมายงบประมาณปี ๒๕๖๓ ผ่านความเห็นชอบเช่นเดียวกับการสนับสนุนให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เป็นนายกรัฐมนตรี
การบิดเบือนดังกล่าวนี้ เป็นการ “ทำคุณบูชาโทษหรือโปรดสัตว์ได้บาป” นะครับ
ศาสตราจารย์ พิเศษ ดร.ปรีชา สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี