เมื่อวันที่ 22 เม.ย.2562 ศาลปกครองสูงสุด พิพากษาคดีโฮปเวลล์
โดยพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น ให้บังคับคดีโฮปเวลล์ ตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ
เป็นผลให้ภาครัฐจะต้องจ่ายค่าโง่ 11,888 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
1. คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด มีสภาพบังคับตามกฎหมาย
ทุกฝ่าย ไม่ว่าจะถูกใจหรือไม่ถูกใจ ก็จะต้องเคารพ
แต่ถามว่า ในความเป็นจริง ภาครัฐสิ้นหวัง คนไทยสิ้นหวัง ว่าจะต้องจ่ายเงินค่าโง่รวมดอกเบี้ย ซึ่งรวมๆ แล้วหลายหมื่นล้านบาททั้งหมดทันทีเลยหรือไม่?
คำตอบ คือ ไม่แน่
อย่างน้อย คำพิพากษาให้ดำเนินการใน 180 วัน หรือราวๆ 6 เดือน จึงยังมีเวลาที่อาจจะดำเนินการบางประการตามระบบกฎหมายที่มีอยู่ เพื่อปกป้องคุ้มครองผลประโยชน์ของภาครัฐอย่างเต็มที่
ยิ่งกว่านั้น ถ้ากลับไปดูแนวทางการต่อสู้ในกรณีค่าโง่โครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน อันเป็นผลงานชิ้นโบแดงในยุครัฐบาล คสช. ที่ผนึกกำลังหลายหน่วยงานต่อสู้คดี ตามระบบกฎหมายปกติ จนกระทั่งสามารถยื่นขอให้ศาลปกครองพิจารณาคดีใหม่ เนื่องจากมีข้อเท็จจริงใหม่ที่สำคัญ และในที่สุด ก็สามารถติดตามยึดอายัดทรัพย์ค่าโง่ที่จ่ายไปแล้ว และดำเนินการทางคดีกับผู้เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างที่รัฐบาลนักเลือกตั้งหลายสิบปีก่อนหน้านั้นไม่เคยกระทำได้มาก่อน
2. กรณีค่าโง่โฮปเวลล์หมื่นล้านบาท
โครงการโฮปเวลล์ คือ “โครงการระบบการขนส่งทางรถไฟและถนนยกระดับในเขตกรุงเทพมหานคร”
วาดโครงการให้มีทางยกระดับ 3 ชั้น คร่อมไปบนทางรถไฟ ชั้นบนสุดเป็นทางด่วน ชั้นกลางเป็นทางรถไฟชุมชน และชั้นล่างเป็นทางรถไฟเดิมของ ร.ฟ.ท. ระยะทาง 60 กิโลเมตร งบในการก่อสร้างราว 8 หมื่นล้านบาท
สัญญาจะจ่ายค่าตอบแทนให้ทางการไทยกว่า 5 หมื่นล้านบาท แลกกับการที่บริษัทโฮปเวลล์ฯ ได้รับสิทธิสัมปทาน มีรายได้จากค่าโดยสารรถไฟและค่าทางด่วน, ผลประโยชน์จากที่ดิน ร.ฟ.ท., ได้รับส่งเสริมการลงทุน ฯลฯ
ที่เรียกกันว่า โครงการโฮปเวลล์ เรียกตามชื่อบริษัทที่ดำเนินโครงการ
เซ็นสัญญากันตั้งแต่ยุครัฐมนตรีคมนาคม นายมนตรี พงษ์พานิช (รัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ)
เดิมโครงการจะใช้เวลาก่อสร้าง 8 ปี อายุของสัมปทาน 30 ปี มีกำหนดตั้งแต่ 6 ธันวาคม 2534 – 5 ธันวาคม 2542
ปรากฏว่า การก่อสร้างล่าช้า มีปัญหาหลายเรื่อง ทั้งเรื่องเงินทุน และเรื่องพื้นที่ก่อสร้าง
คู่สัญญาคือ ร.ฟ.ท. กระทรวงคมนาคม กับบริษัทเอกชน ต่างก็โทษกันไปมา ตามมาด้วยการฟ้องร้องกันไปมา หลังถูกบอกเลิกสัญญา
ฝ่ายเอกชนร้องอนุญาโตตุลาการ ซึ่งวินิจฉัยให้จ่ายเงินแก่เอกชน ฝ่ายรัฐจึงฟ้องศาลปกครองขอเพิกถอนคำวินิจฉัยอนุญาโตตุลาการ ฝ่ายรัฐชนะที่ศาลปกครองกลาง ก่อนที่ศาลปกครองสูงสุดจะพิพากษากลับ เป็นให้บังคับตามคำวินิจฉัยของอนุญาโตตุลาการดังกล่าว
3. กรณีค่าโง่คลองด่านหมื่นล้านบาท
ก่อนจะมาถึงยุครัฐบาล คสช. ศาลปกครองสูงสุดเคยมีการตัดสินมาแล้วให้บังคับตามคำวินิจฉัยของอนุญาโตตุลาการ ที่ให้รัฐจ่ายค่าโง่คลองด่านกว่าหมื่นล้านบาท
โดยเมื่อปี 2554 อนุญาโตฯ ตัดสินให้กรมควบคุมมลพิษจ่ายเงินที่ค้างอยู่กับกิจการร่วมค้า เป็นเงินที่ค้างชำระและดอกเบี้ยในอัตรา 7.5% ต่อปี และค่าเสียหายอื่นๆ รวมเป็นเงินกว่า 9 พันล้านบาท และเมื่อ คพ.ในยุคนั้น นำคดีไปฟ้องต่อศาลปกครอง ขอให้ชี้ขาดว่า “คำตัดสินของอนุญาโตฯ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่” ปรากฏว่า ทั้งศาลปกครองชั้นต้นและศาลปกครองสูงสุด ต่างมีคำพิพากษาว่าคำตัดสินของอนุญาโตฯ ชอบด้วยกฎหมาย
กระทั่งมายุครัฐบาล คสช. ถึงได้ตั้งหลัก เดินหน้าตรวจสอบ ทบทวน วางแนวทางการต่อสู้คดี รวบรวมหลักฐาน ระดมสรรพกำลังภาครัฐ บูรณาการทำงาน เพื่อปกป้องความเป็นธรรมแก่ประเทศชาติส่วนรวม
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ บัญชาการให้มีการตั้งหลักต่อสู้คดีอย่างเต็มที่
รัฐมนตรียุติธรรมขณะนั้น คือ พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา ร่วมกับคณะทำงาน (มีทั้ง สตง. ดีเอสไอ ปปท. กระทรวงการคลัง ฯลฯ) โดยใช้กฎหมายปกติ ผ่านกระบวนการศาลยุติธรรมและศาลปกครองปกติ กระทั่งเมื่อปี 2560 กระทรวงการคลังและกรมควบคุมมลพิษ จึงได้ร้องขอให้ศาลปกครองพิจารณาคดีใหม่ เพราะมีข้อมูลใหม่เกิดขึ้น คือ กรณีคำพิพากษาที่บ่งชี้ว่า มีข้าราชการร่วมทุจริตกับเอกชน เอื้อประโยชน์แก่เอกชนมิชอบ
กรณีค่าโง่คลองด่านนั้น ระหว่างตั้งหลักสู้ รัฐบาล คสช. ก็ต้องเคารพคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุด ถึงขนาดต้องยอมจ่ายค่าโง่งวดแรกไปก่อนเช่นกัน แล้วหลังจากนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการและดำเนินคดี ค่อยใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของตนในการติดตามยึดอายัด แถมดำเนินคดีฐานฟอกเงินเอากับผู้เกี่ยวข้องกันเป็นพรวน
ปปง.ได้ดำเนินการอายัดสิทธิเรียกร้องในหนี้ (ค่าโง่) ตามข้อตกลงที่กรมควบคุมมลพิษจะต้องจ่ายให้แก่ กลุ่มกิจการร่วมค้า NVPSKG จำนวน 2 งวดที่ค้างอยู่ อ้างอิงคำพิพากษาในคดีอาญา โดยคณะกรรมการธุรกรรม ครั้งที่ 7/2559 เมื่อวันที่ 10 พ.ค. 2559 มีมติให้อายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด กรณีกลุ่มบุคคลที่มีพฤติการณ์ในการทุจริตและแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมายจากโครงการออกแบบร่วมก่อสร้างระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียเขตควบคุมมลพิษ จ.สมุทรปราการ ซึ่งเป็นสิทธิเรียกร้องในหนี้ตามข้อตกลงที่กรมควบคุมมลพิษจะต้องจ่ายให้แก่ กลุ่มกิจการร่วมค้าNVPSKG จำนวน 2 งวด หลังจากนั้น ยังเดินหน้าตรวจสอบเส้นทางเงิน และอายัดทรัพย์สินเพิ่มเติมอีกหลายรายการ รวมทั้งเงินในบัญชีของผู้เกี่ยวข้อง นามสกุลนักการเมืองดังก็ไม่เว้น ฯลฯ
4. ประเด็นสำคัญว่าจะต่อสู้เพื่อรักษาผลประโยชน์สูงสุดของรัฐในกรณีค่าโง่โฮปเวลล์ ได้เหมือนกรณีที่รัฐบาล คสช. ดำเนินการในกรณีต่อสู้ค่าโง่คลองด่านจนได้รับชัยชนะไปแล้วนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัย 2 ประการหลัก
หนึ่ง คือ ความมุ่งมั่นเอาจริงของผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะระดับนโยบาย ประกอบกับแรงสนับสนุนของประชาชนในสังคมว่าพร้อมจะหนุนส่งการทำหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต่อสู้มากน้อยแค่ไหน หรือจะให้ยอมจ่ายค่าโง่
สอง คือ กรณีโฮปเวลล์ จะมีข้อเท็จจริงใหม่เพิ่มเติมที่สำคัญ ที่เข้าลักษณะคล้ายกรณีคลองด่านหรือไม่ ประเภทว่า มีเจ้าหน้าที่รัฐทุจริต ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ เอื้อประโยชน์ให้เอกชนผูกขาดสัมปทาน หรือทำสัญญามีเงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรมกับรัฐ หรือไม่
ถ้ามีทั้งสองกรณีนี้ ก็ยังมีความหวัง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี