ประเด็นการโอนหุ้นบริษัท วี-ลัคมีเดีย จำกัด ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ยังคงเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง หลังสำนักข่าวอิศรา รายงานว่า เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2562 มีการแจ้งวันเปลี่ยนแปลงทะเบียนผู้ถือหุ้นในบริษัท วี-ลัคมีเดียฯ อันเป็นกิจการผลิตนิตยสารที่เขากับภรรยาเคยถืออยู่จำนวนหนึ่งไปให้มารดาของเขาต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท กรุงเทพมหานคร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นวันหลังวันสมัครรับเลือกตั้ง สส. 6 กุมภาพันธ์ 2562 ซึ่งเข้าลักษณะต้องห้ามสมัครรับเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ
หากนายธนาธร ยังคงถือครองหุ้นนี้อยู่ในขณะยื่นใบสมัคร ไม่เพียงแค่ขาดคุณสมบัติของการเป็นผู้สมัคร สส. เท่านั้น ยังมีโทษหนักทั้งทางอาญาและทางการเมือง บัญญัติอยู่ใน พ.ร.ป.เลือกตั้งฯ มาตรา 151 จำคุก 1-10 ปี ปรับ 20,000- 200,000 บาท เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี ด้วย
อันที่จริง เรื่องนี้หากเกิดกับผู้สมัครรายอื่นที่มิใช่ธนาธร คงไม่เป็นข่าวโด่งดัง เป็นที่ถกเถียง หรือได้รับความสนใจมากอย่างนี้ แต่เพราะเป็นธนาธร ที่นำพรรคอนาคตใหม่คว้าชัยชนะจากการเลือกตั้งมาเป็นอันดับ 3 ชนิดเหนือความคาดคิดของทุกคน และดูเหมือนว่า หลังจากนั้น เขาตกเป็นเป้าของการตรวจสอบ เล่นงาน และจับผิดสารพัดเรื่อง ไม่ว่าจะโดยฝ่ายการเมือง สื่อมวลชน หรือโลกออนไลน์
เป็นการ “รับน้อง” ของคนที่โดดเข้าสู่เวทีการเมือง และเป็น “บุคคลสาธารณะ”
ในขณะที่ฝ่ายธนาธรเอง ก็พยายามทำให้เป็นประเด็น “เป้าโจมตีทางการเมือง” เพราะชัยชนะของเขาและพวก ทำให้ “ฝ่ายผู้มีอำนาจ” รู้สึก “ไม่มั่นคง”
อย่างไรก็ตาม สำหรับประชาชนอย่างเราๆ ควรวางเรื่องนี้ไว้ในฐานะ “ข้อเท็จจริงที่ต้องตรวจสอบ” ไม่จำเป็นต้องไปเมามันหรือเดือดดาลอะไรด้วย
มีคนร้องเรียนกับ กกต. แล้ว คือ นายศรีสุวรรณ จรรยา และ กกต. ก็รับเรื่องเอาไว้แล้ว อยู่ระหว่างการตรวจสอบ แต่จู่ๆ เพื่อนซี้และเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ก็ออกมาแถลงข่าวช่วยเพื่อน ด้วยการย้ำว่า ธนาธรโอนหุ้นดังกล่าวแล้วจริงๆ โดยย้ำว่าวันที่เป็นปัญหานั้น ธนาธรไปบุรีรัมย์จริง แต่กลับมาโอนหุ้นในตอนเย็น
ร้อนถึง นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ต้องเดินทางไปยื่นคำร้องเพิ่มเติมต่อ กกต. ทันที เพื่อให้เป็นข้อมูลในการพิจารณาวินิจฉัยของที่ประชุมคณะกรรมการฯ โดยชี้พิรุธคำแถลงของนายปิยบุตร
แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ที่ได้ออกมาแถลงแก้ต่างให้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เกี่ยวกับปัญหาของการโอนหุ้นบริษัท วี-ลัคมีเดีย จำกัด คือ
1) ก่อนหน้านี้นายธนาธร ยืนยันมาตลอดว่า โอนหุ้นให้กับแม่ คือนางสมพร ไปแล้วก่อนสมัครรับเลือกตั้งและขณะทำนิติกรรมการโอนนั้นตนอยู่ กทม. แต่ปรากฏข้อมูลจากสื่อหลายสำนักรายงานตรงกันว่าวันดังกล่าว นายธนาธรลงพื้นที่ช่วยผู้สมัคร สส. พรรคอนาคตใหม่ หาเสียงอยู่ที่ จ.บุรีรัมย์ โดยปรากฏภาพข่าวผ่านเว็บไซต์สำนักข่าวหลายๆ แห่ง และเมื่อวันที่ 22 เม.ย. ที่ผ่านมานายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ได้ออกมาแถลงแก้เกี้ยวว่า
“ในวันที่ 8 ม.ค.นั้นนายธนาธรได้หาเสียงที่ จ.บุรีรัมย์ ในช่วงเช้าและขึ้นเวทีในช่วงบ่าย ก่อนที่จะขึ้นรถตู้กลับมาจาก จ.บุรีรัมย์ ตั้งแต่ช่วงบ่ายเพื่อจะมาทำภารกิจในการโอนหุ้น โดยมีหลักฐานเป็นค่าใบเสร็จอีซี่พาสชัดเจนว่านายธนาธรได้มาถึงกรุงเทพฯประมาณ 4 โมงเย็น โดยข้อมูลในใบเสร็จอีซี่พาสระบุว่าเป็นช่วงเวลาประมาณบ่าย 3 โมง และในวันที่ 8 ม.ค.นายธนาธรก็ได้นอนค้างอยู่ที่บ้าน ก่อนที่วันที่ 9 ม.ค.นายธนาธรจะได้เดินทางด้วยเครื่องบินไปทำภารกิจที่ จ.นครศรีธรรมราช ในช่วงเช้า”
2) จากการตรวจสอบข้อมูลในใบเสร็จอีซี่พาสที่ทางพรรคอนาคตใหม่ได้เผยแพร่ต่อสาธารณชนโดยสำนักข่าวอิศรานั้น พบว่า เมื่อวันที่ 8 ม.ค.ได้มีการใช้บัตรอีซี่พาส ขาเข้าที่ด่านธัญบุรี ช่องทางที่ 14 โดยเวลาที่ผ่านด่านเก็บเงินที่ 14.57 น. ขณะที่รายชื่อของเจ้าของบัตรอีซี่พาสดังกล่าวนั้น แม้จะถูกปิดเอาไว้แต่ก็ปรากฏว่ามีไม้หันอากาศ และตัวการันต์เป็นส่วนประกอบของชื่อด้วย จึงไม่ใช่บัตรอีซี่พาสของนายธนาธร? นอกจากนั้นการเดินทางจาก อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ มายังด่านธัญบุรีต้องใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง 27 นาที เพราะมีระยะทางประมาณ 402 กิโลเมตร
3) ดังนั้น ถ้าหากนำเวลา 14.57 น.ที่นายธนาธรได้เดินทางมาถึง ด่านธัญบุรีไปหักลบด้วยเวลาเดินทาง 5 ชั่วโมง 27 นาที ก็จะพบว่านายธนาธรนั้นน่าจะออกจาก อ.สตึก ประมาณ 09.30 น. ถึงจะเดินทางมาถึงด่านธัญบุรี ในเวลา 14.57 น.ได้ โดยใช้เวลาขับรถประมาณ 73 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
แต่เมื่อนำไปเทียบเคียงกับคำชี้แจงของ นายปิยบุตร ที่ระบุว่า “ในวันที่ 8 ม.ค.นั้นนายธนาธรได้หาเสียงที่ จ.บุรีรัมย์ในช่วงเช้าและขึ้นเวทีในช่วงบ่าย ก่อนที่จะขึ้นรถตู้กลับมาจาก จ.บุรีรัมย์ ตั้งแต่ช่วงบ่ายเพื่อจะมาทำภารกิจในการโอนหุ้น”
จะพบว่า ค่อนข้างจะเป็นไปได้ยาก นายธนาธรจะเดินทางออกจากบุรีรัมย์ในช่วงบ่าย และมาถึงด่านธัญบุรี ช่องทางที่ 14 ในช่วงเวลา 14.57 น. ระยะเวลาห่างกันแค่ไม่ถึงสองชั่วโมง ตามที่นายปิยบุตร กล่าวอ้าง และมาถึงที่ด่านทับช้าง ในเวลา 15.14 น.ได้อย่างไร ยกเว้นจะใช้รถแข่ง F1 ซิ่งมาเท่านั้น
4) นอกจากนั้น ในคำแถลงของนายปิยบุตรแทนนายธนาธรนั้น สิ่งที่ไม่พูดถึงเลย คือ หลักฐานการโอนเงินค่าซื้อขายหุ้นเข้าบัญชี คือ ไม่มีสเตตเมนท์ธนาคาร เพราะหลักฐานอื่นๆ สามารถทำปลอมได้ทั้งหมด
5) นอกจากนั้น การโอนไปโอนมาระหว่างภรรยาของนายธนาธรให้กับนางสมพร แม่ของธนาธร และจากนางสมพรไปให้หลานอีก 2 คนนั้น ไม่ปรากฏว่ามีเช็คหรือมีหลักฐานตราสาร รวมทั้งสเตตเมนท์ของธนาคารมาแสดงให้ดูให้ครบทั้งหมดแต่อย่างใด
6) หลักฐานอีกประการที่ไม่มีการนำมาโชว์คือ หลักฐานการเป็นหนี้ที่นายปิยบุตรแถลงว่าเป็นหนี้สูญ 10 ล้านบาทนั้น เป็นหนี้จริงหรือไม่ มีเอกสารทางบัญชี กำไร-ขาดทุนโดยผู้ตรวจสอบบัญชีมารับรองหรือไม่ มีการฟ้องร้องดำเนินคดีตามกฎหมายแล้วหรือไม่ เพื่อให้เป็นหนี้สูญโดยชอบด้วยกฎหมาย
7) ประเด็นที่นายปิยบุตรอ้างว่านางสมพรแม่ของนายธนาธรโอนหุ้นให้ หลาน 2 คน เพราะบริษัทยังมีหนี้อยู่ 10 ล้านบาท ต้องการทวงหนี้ และอยากให้หลาน 2 คนเรียนรู้นั้น เป็นเรื่องที่เลื่อนลอย ไม่ใช่การปฏิบัติทางธุรกิจตามปกติทั่วไป เพราะการทวงหนี้เพียงให้พนักงานบริษัทธรรมดาๆ ไปทวง ทำหนังสือเรียกให้ชำระหนี้ หรือให้ทนายความยื่นโนติสก็สามารถทำได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ผู้ถือหุ้นเป็นคนทวง ข้ออ้างของนายปิยบุตรเช่นนั้นจึงเป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผล หากหลาน 2 คนอยากเรียนรู้การทวงหนี้ ก็แค่ทำหนังสือมอบอำนาจจากบริษัทรับงานทวงหนี้ไปทำได้เลย
8) อีกประการหนึ่ง นายปิยบุตรอ้างว่า เมื่อโอนหุ้นให้หลาน 2 คนไปแล้ว ไปทวงหนี้พบว่าหนี้เป็น NPL ไม่สามารถชำระหนี้ได้ หลานจึงโอนหุ้นกลับให้นางสมพรเพื่อปิดบริษัท นี่ยิ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลทางธุรกิจอีกเช่นกัน เพราะบรรดาผู้ถือหุ้นที่เหลืออยู่ก็สามารถปิดบริษัทเองได้ และจะสะดวกกว่าเพราะแม่ของธนาธรอายุมากแล้ว และประเด็นทางกฎหมายข้างต้น คือ การจะแทงหนี้สูญ หากเป็นหนี้ก้อนโตจะจำหน่ายหนี้สูญให้ถูกกฎหมายและมาตรฐานทางบัญชี จะต้องฟ้องดำเนินคดีตามมาตรา 65 ทวิ (9) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกฎกระทรวงฉบับที่ 186 (พ.ศ.2534) มิใช่ว่าพอลูกหนี้ผิดชำระหนี้ก็จำหน่ายเป็นหนี้สูญได้ เพราะสรรพากรไม่มีทางเชื่อแน่ หรืออาจเข้าข่ายความผิดทางอาญาฐานฟอกเงินได้
ก่อนหน้านี้ นายคำนูณ สิทธิสมาน เคยกล่าวถึงการพิสูจน์เรื่องนี้เอาไว้ว่า
“ประเด็นสำคัญที่จะต้องพิจารณาคือ จะยึดถือวันใดเป็นวันโอนหุ้นจริง 1.ยึดวันที่บริษัทฯ แจ้งต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท กรุงเทพมหานคร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ - วันที่ 21 มีนาคม 2562 หรือ 2.ยึดถือวันที่มีการโอนกันจริงตามที่อ้าง-วันที่ 8 มกราคม 2562 มีข้อกฎหมายที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับกรณีนี้ คือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรา 1129 วรรคสาม
“มาตรา 1129 อันว่าหุ้นนั้นย่อมโอนกันได้โดยมิต้องได้รับความยินยอมของบริษัท เว้นแต่เมื่อเป็นหุ้นชนิดระบุชื่อลงในใบหุ้น ซึ่งมีข้อบังคับของบริษัทกําหนดไว้เป็นอย่างอื่น
“การโอนหุ้นชนิดระบุชื่อลงในใบหุ้นนั้น ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อของผู้โอนกับผู้รับโอนมีพยานคนหนึ่งเป็นอย่างน้อยลงชื่อรับรองลายมือนั้นๆ ด้วยแล้ว ท่านว่าเป็นโมฆะ อนึ่ง ตราสารอันนั้นต้องแถลงเลขหมายของหุ้นซึ่งโอนกันนั้นด้วย
การโอนเช่นนี้จะนํามาใช้แก่บริษัทหรือบุคคลภายนอกไม่ได้ จนกว่าจะได้จดแจ้งการโอนทั้งชื่อและสำนักของผู้รับโอนนั้นลงในทะเบียนผู้ถือหุ้น”
ประเด็นตามวรรคสามนี้ ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าโดยตัวบทแล้ว หมายถึงการจดแจ้งลงในทะเบียนผู้ถือหุ้น หมายถึงสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นที่ตั้งอยู่ ณ บริษัทเท่านั้น ไม่ใช่ต้องไปแจ้งต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทฯทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลง เพราะโดยปกติจะไปแจ้งต่อนายทะเบียนฯ ปีละ 1 ครั้ง
แต่อีกฝ่ายเห็นว่าสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นอยู่ที่บริษัท คนภายนอกจะรู้ได้อย่างไร หากไม่แจ้งต่อนายทะเบียนฯ ที่กระทรวงพาณิชย์ เอกสารโอนหุ้นทำกันโดยลงวันที่ใดก็ได้ คนภายนอกจะรู้ได้อย่างไรว่าโอนจริงตามวันที่ในเอกสารหรือทำขึ้นย้อนหลัง โดยเฉพาะในกรณีนี้ที่ “คนภายนอก” เป็น “กกต.” ที่ทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญที่จะสกรีนบุคคลที่มีลักษณะต้องห้ามออกไปจากการอาสามาเป็นผู้แทนประชาชน !
กกต.จะรู้ได้อย่างไรว่าหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ยังถือหุ้นปัญหาอยู่หรือไม่ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 เพราะเอกสารที่ทางราชการรับทราบการโอนหุ้นของเขาเป็นครั้งแรกคือวันที่ 21 มีนาคม 2562?
หากธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จะได้แนบสำเนาตราสารโอนหุ้นวันที่ 8 มกราคม 2562 ต่อ กกต.เสียในวันสมัครรับเลือกตั้งวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 ก็น่าจะจบปัญหา แต่ก็ไม่ได้ยื่น เพราะ กกต.ไม่ได้กำหนดให้ยื่น โดยใช้วิธีเพียงให้ผู้สมัครทุกคนลงนามรับรองคุณสมบัติโดยรวมของตนเองไว้เท่านั้น คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1129 นี้ให้เทียบเคียงหลายคดี”โดยสรุป เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องจับให้มั่นคั้นให้ตายอยู่ 2 เรื่องคือ 1.ข้อเท็จจริง เรื่องการครอบครองและการโอนหุ้น ว่าเกิดก่อนการยื่นใบสมัครหรือหลังยื่นใบสมัคร 2.ข้อกฎหมาย ว่าจะยึดข้อกฎหมายใด และตีความอย่างไร
ไอ้ที่สังคมถกเถียงกันอยู่ตอนนี้เป็นแค่เรื่องยิบย่อยในข้อเท็จจริงเรื่องการเดินทางกลับจากบุรีรัมย์กี่โมง ใช้ความเร็วของรถเท่าไหร่ และมาโอนหุ้นกันจริงหรือไม่ เท่านั้นเอง!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี