ในรอบ 10 กว่าปีที่ผ่านมาของการเมืองไทย ขบวนการภาคประชาชนได้รวมตัวครั้งใหญ่ เพื่อออกมาเรียกร้องสิทธิ มาต่อต้าน และทำการขับไล่ระบอบทักษิณทุนนิยมสามานย์ถึง 2 ครั้ง 2 ครา ได้แก่
1. พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พ.ศ. 2548-2552)
2. กปปส : คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทย ให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (พ.ศ. 2556-2557)
ทั้ง 2 ขบวนการนั้นแม้จะต่างวาระกัน แต่ก็มีเป้าหมายคล้ายคลึงกัน นั่นคือ ต้องการเห็นการบริหารราชการปกครองบ้านเมืองด้วยระบบธรรมาภิบาล และต้องการปกป้องรักษาความเป็นราชอาณาจักร และธำรงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยของการมีส่วนร่วมของสังคมไทย
แม้จะมิสามารถกุมชัยชนะอย่างเด็ดขาด แต่จากผลงาน ก็พอกล่าวได้ว่า ทั้ง 2 ขบวนการนั้นประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพึงพอใจ นั่นคือ สามารถป้องกันมิให้ระบอบทักษิณทุนนิยมสามานย์ ที่ยืนอยู่บนพื้นฐานเผด็จการเสียงข้างมาก ผสมผสานด้วยลัทธิบูชาองค์บุคคล เพื่อการทุจริตคอร์รัปชั่นโกงกินบ้านเมือง ผ่านนโยบายประชานิยมต่างๆ หรือนัยหนึ่ง ก็คือหยุดยั้งการใช้อำนาจโดยมิชอบต่างๆ นานา เข้ามายึด ครอบครอง และครอบงำสังคมไทย ไปจนถึงการดับฝันขบวนการที่มุ่งเปลี่ยนรูปโฉมรัฐไทยให้เป็นสาธารณรัฐ หรือมุ่งตีกรอบสถาบันพระมหากษัตริย์ให้อยู่ในวงแคบเช่นเดียวกับกัมพูชา ณ ทุกวันนี้
แม้ขบวนการภาคประชาชนจะประสบความสำเร็จในการต้านทานระบอบทักษิณไว้ได้ แต่เมื่อกองทัพเข้ามาคั่นสถานการณ์ ก็ไม่ได้มีการจัดการปฏิรูปประเทศและจัดการกับระบอบทักษิณอย่างจริงจัง ส่งผลให้ทางฝ่ายระบอบทักษิณก็ยังคงสามารถยืนหยัดอยู่ได้ในสังคมไทย แถมยังมีพลังเพียงพอที่จะคุกคามความเป็นราชอาณาจักรไทย และความเป็นสังคมเสรีประชาธิปไตยของไทยอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งฝ่ายรัฐบาลกองทัพก็มุ่งสร้างอำนาจให้ตนเองและกระชับอำนาจรัฐไว้ที่ส่วนกลางมากขึ้น
สถานการณ์โดยรวมระหว่างฝ่ายภาคประชาชน กับฝ่ายทุนนิยมสามานย์ จึงยังเป็นไปในรูปแบบ การยับยั้งกันไป-มา
โดยในระหว่างการรวมตัวต่อสู้ของภาคประชาชนทั้งสองครั้ง ฝ่ายกองทัพก็ออกตัวเข้ามาแทรกแซงการบ้านการเมือง โดยการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจรัฐถึง 2 ครั้ง 2 ครา โดยใช้เหตุผลที่ว่า เพื่อป้องกันเหตุรุนแรงระหว่างฝ่ายระบอบทักษิณกับฝ่ายต่อต้านระบอบทักษิณ และแล้วก็ยังได้สัญญาว่าจะสร้างความปรองดองสมานฉันท์ให้กับสังคมไทยอีกด้วย
ซึ่งทางฝ่ายกองทัพคงไม่ได้เข้าใจตรงกันว่า การปรองดองจะเกิดขึ้นได้นั้น จะต้องจัดให้มีการค้นหาข้อเท็จจริง เพื่อมุ่งหาสาเหตุแห่งปัญหา และผู้กระทำการ แล้วจึงให้มีการยอมรับ เพื่อนำไปสู่การรับโทษผลการกระทำ และจัดให้มีการยกโทษต่อกันและกัน เพื่อที่สังคมไทยจักได้เริ่มต้นกันใหม่ ในกรอบความคิดพื้นฐานเดียวกันนั่นคือกรอบความเป็นสังคมเสรีประชาธิปไตยอันเป็นราชอาณาจักรไทย
และยิ่งมองย้อนกลับไปแล้ว ฝ่ายกองทัพไม่ได้มีความจำเป็น จะต้องกระทำการยึดอำนาจรัฐแต่อย่างใด เพียงหากฝ่ายกองทัพซึ่งรู้อยู่แก่ใจว่า ฝ่ายใดผิดถูก ฝ่ายใดบ่อนทำลายชาติบ้านเมือง ฝ่ายใดมุ่งร้ายต่อความเป็นราชอาณาจักรของไทยและสถาบันกษัตริย์ ฝ่ายกองทัพก็สามารถดำเนินการไปตามความเหมาะสมแก่สถานการณ์ได้ทันที คือการยืนเคียงข้างฝ่ายประชาชนผู้รักความถูกต้อง
เพราะก่อนหน้านั้น มีหลายๆ โอกาส และหลายๆ จังหวะ ที่ฝ่ายกองทัพพร้อมด้วยสถาบัน ข้าราชการพลเรือน และตำรวจ สามารถแสดงตนในการออกมายืนเคียงข้างกับขบวนการภาคประชาชนที่ต่อสู้กับระบอบเผด็จการเสียงข้างมากได้ แต่ก็มิได้ทำ ทั้งๆ ที่ไม่ต้องไปค้นหาข้อมูลเบื้องลึกอะไรมากมาย เพียงแค่ใช้สามัญสำนึกก็ทราบได้แล้วว่า ระบอบทักษิณนั้นเลวร้ายต่ออนาคตชาติไทยอย่างใด
แต่จนแล้วจนรอด ฝ่ายกองทัพรวมทั้งระบบราชการทั้งหมดกลับเลือกที่จะนิ่งเฉย ไม่ออกมาแสดงท่าทียืนเคียงข้างกับฝ่ายภาคประชาชนที่ต้องการปกป้องราชอาณาจักร และความเป็นเสรีประชาธิปไตย ที่ไม่เอาด้วยกับรูปแบบการเมืองเผด็จการใดๆ ทั้งสิ้น แล้วรอจนสถานการณ์สุกงอม เพื่อที่จะใช้เป็นเหตุผลข้ออ้างว่าสังคมไทยมีความขัดแย้งอย่างหนัก กำลังมีการเผชิญหน้า และจะมีการใช้ความรุนแรง ฝ่ายกองทัพจึงมีเหตุอันดูดีในการยึดอำนาจรัฐแบบเบ็ดเสร็จ และบริหารประเทศแบบเผด็จการ
เมื่อยึดอำนาจ 2 ครั้ง แล้วก็มิได้ดำเนินการใดๆ เพื่อปราบศัตรูของชาติ เรื่องก็จึงค้างคาราคาซังมาจนถึงทุกวันนี้ โดยคิดเองเออเองว่า การใช้ตัวบทกฎหมายที่พิสดารล้ำลึก จะสามารถปิดเกม เป็นการปิดประตูตีแมวระบอบทักษิณได้ โดยหลังจากเล่นบทเผด็จการทหารมาหลายปี ก็หันไปเล่นกับเกมการเมืองแบบเลือกตั้งแทนภายใต้อำนาจรัฐเบ็ดเสร็จของตน ซึ่งหารู้ไม่ว่า นั่นคือการต่ออายุให้กับระบอบทักษิณทางอ้อม และยืดเวลาการขัดแย้งกันต่อไป
ในการรัฐประหารครั้งแรก รัฐบาลในขณะนั้น ก็มีการเปิดทางให้ นายทักษิณ ชินวัตร หลบหนีคดี เดินทางออกจากประเทศไทยไปได้อย่างเบิกบานใจ ด้วยข้ออ้างว่าไปร่วมมหกรรมกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ที่ประเทศจีน
และการรัฐประหารครั้งที่สอง ก็ยังคงซ้ำรอยเดิม ด้วยการหละหลวม ปล่อยให้ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หนีออกนอกประเทศไปด้วยการอำนวยความสะดวกของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งเมื่อสืบสวน พบเจอตัวการ คดีก็ยังเงียบหายจนกระทั่งบัดนี้
นั่นจึงทำให้ ทั้งนายทักษิณ และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลายเป็นสัมภเวสี เดินทางร่อนเร่ไปได้ทั่วโลก แถมยังสามารถทำการนัดพบลิ่วล้อลูกสมุน เพื่อให้กลับมาดำเนินการป่วนสถานการณ์ประเทศไทยเป็นระยะๆ โดยมิได้มีท่าทีใดๆ จากทางรัฐบาลและกองทัพในเวทีโลกที่จะสกัดกั้น ซึ่งต่างจากสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่กดดันประชาคมโลก จนนายทักษิณแทบขยับเขยื้อนออกจากดูไบมิได้
นอกจากนั้น ฝ่ายกองทัพยังไปเลือกใช้งานเด็กในสังกัดระบอบทักษิณ เอามาเป็นเครื่องมือหากิน เท่ากับเลี้ยงงูเห่าไว้ทำร้ายบ้านเมือง เลี้ยงงู ซึ่งเป็นการเลี้ยงระบอบทักษิณไปด้วย ก็เท่ากับว่าช่วยนางสาวยิ่งลักษณ์ไปโดยปริยายอีกด้วย
การณ์ดังที่กล่าวมานี้ แสดงให้เห็นว่า ที่ผ่านมา ฝ่ายกองทัพมิได้เอาจริงเอาจังกับการขจัดระบอบทักษิณแต่อย่างใด แถมยังปล่อยให้ลอยนวล และทำการคุกคามราชอาณาจักรไทย และระบอบเสรีประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นองค์ประมุขต่อไปอย่างสะดวกโยธิน เท่ากับว่าฝ่ายรัฐบาลกองทัพ และรัฐบาลไทยที่มีตัวแทนกองทัพเป็นนายกรัฐมนตรี และกองทัพสนับสนุนอย่างเต็มที่ มีความต้องการที่จะอยู่ร่วมกับระบอบทักษิณต่อไป ชนิดแบบถ้อยทีถ้อยอาศัยกันและกัน โดยใช้ฝ่ายทักษิณ เป็นตัวข่มขู่ประชาชนไทย ว่ามีเพียงกองทัพเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งได้
แต่ที่แย่ที่สุดในสถานการณ์นี้ก็คือ ผู้นำทางการเมืองกลุ่มหนึ่งยังเพ้อฝันว่า มีฝ่ายกองทัพเป็นรัฐบาลและค้ำจุนรัฐบาลแล้ว ระบอบทักษิณจะได้ไม่ได้ผุดได้เกิด และจะอันตรธานหายไปโดยธรรมชาติ โดยหารู้ไม่ว่า ฝ่ายกองทัพนั้นพึ่งมิได้ เพราะมิได้มีความจริงใจในการจัดการกับระบอบทักษิณให้สิ้นซากแต่อย่างใด
คนเหล่านี้คงไม่ได้หันมามองข้อเท็จจริงที่ว่า เมื่อระบอบทักษิณถูกกันออกไป ประเทศไทยก็ยังตกอยู่ภายใต้ระบอบทหารการเมืองร่วมมือกับทุนสามานย์เข้ามาแทนที่อยู่ดี
ประชาชนไทยก็เลยเหมือนกับหนีเสือปะจระเข้ ดังที่ได้วิพากษ์วิจารณ์กันมาหลายครั้งหลายครา แต่ที่ที่น่ากลัวก็คือ ยังมีคนอีกมากมายที่หาตระหนัก หรือสำเนียกเรื่องเหล่านี้
มีทหารที่กุมกองกำลัง กระโดดลงมาเล่นการเมืองแล้ว ประเทศจะไปมีประชาธิปไตยได้อย่างไร แถมยังเป็นทหารการเมือง ที่เกี๊ยะเซียะกับระบอบทักษิณ และหากินกับกลุ่มทุนนิยมสามานย์ ทำการเล่นแร่แปรธาตุกับอำนาจรัฐ อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้จบ
ประชาชนไทยทั้งหลายนอกจากจะตื่นรู้ถึงประชาธิปไตย ยังจะต้องตื่นรู้ถึงเล่ห์กลทางการเมืองของเผด็จการอำนาจนิยมสมัยใหม่อีกด้วย เพื่อที่จะได้ปัดกวาดเช็ดถู และควบคุมดูแลการเมืองด้วยมือตนเอง ไม่ยอมปล่อยให้อำนาจมืดใดๆ มาหากินฉ้อฉล กับการเมืองไทยอีกต่อไป
หากทางกองทัพไม่แสดงความจริงใจในการปฏิรูปประเทศ ปฏิรูปประชาธิปไตยกันเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ สักวันคงถึงเวลาที่ภาคประชาสังคมไทยต้องกลับมารวมตัวกันรอบที่สาม เพื่อที่จะดำเนินการ ส่งทหารกลับเข้าค่าย กำจัดทุนนิยมสามานย์ออกไปจากสังคมไทย และเปลี่ยนสภาพสังคมการเมืองไทย ให้เป็นประชาธิปไตยกันอย่างแท้จริงด้วยมือตนเอง
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี