ชาวโซเชียลหรือชาวเนตกำลังถกเถียงกันอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับการที่ กกต. ตรวจสอบการถือหุ้นของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และกลายเป็นเรื่องที่สนใจของผู้คนอย่างกว้างขวางด้วย
ใครเชียร์ฝ่ายไหนก็เชียร์ฝ่ายนั้นกันอย่างไม่ลืมหูลืมตา มิหนำซ้ำได้ด่าว่าคนอื่นที่มีความเห็นไม่ตรงกันอย่างรุนแรงหยาบคาย ถึงขนาดยกพ่อยกแม่เอามาเบ่งใส่ด่าว่ากันแล้ว นี่ก็คือความแตกแยกแตกสามัคคีในชาติที่เป็นวิบากกรรมอีกอย่างหนึ่งของรัฐธรรมนูญ 2560
บางพวกนอกจากด่าพวกที่ไม่เห็นด้วยกันแล้ว ก็ยังพาลมาด่า กกต. กล่าวหา กกต. โดยไม่เป็นธรรม ว่าดองเรื่องการตรวจสอบเรื่องนี้บ้าง เอื้อประโยชน์ให้กับพรรคอนาคตใหม่บ้าง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องโดยแท้ ทั้งนี้ กกต. ก็ได้แถลงชี้แจงแล้วว่าจำเป็นต้องใช้เวลาในการตรวจสอบไต่สวน ซึ่งขณะนี้ก็ดำเนินการอยู่อย่างรีบเร่งแล้ว
ก็ต้องบอกว่าเรื่องนี้ กกต.ถูกด่าฟรี และคนด่า กกต.เรื่องนี้ก็ไม่มีน้ำใจที่เป็นธรรมและไม่เข้าใจกระบวนการทำงานของ กกต. ควรจะหยุดตำหนิติเตียน กกต. ในเรื่องนี้ได้แล้ว
รัฐธรรมนูญและกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งบัญญัติห้ามไม่ให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นเจ้าของหรือถือหุ้นในธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นเจตนารมณ์เดียวกันกับการห้ามรัฐหรือพรรคการเมืองเป็นเจ้าของหรือถือหุ้นในธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ อันเป็นการป้องกันไม่ให้ผู้มีอำนาจใช้สื่อสิ่งพิมพ์ในการทำลายล้างคู่ต่อสู้ทางการเมืองหรือในการล้างสมองประชาชน
กรณีเรื่องนี้เกิดขึ้นจากมีการร้องเรียนว่านายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ถือหุ้นในธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ จึงต้องห้ามมิให้สมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งมีการชี้แจงกันไปบ้างแล้ว และมีการตั้งประเด็นในการชี้แจงอย่างแหลมคมด้วย ในขณะที่ กกต. ก็เริ่มลงมือทำการตรวจสอบไต่สวนแล้ว และกำลังอยู่ในกระบวนการตรวจสอบไต่สวนนั้น
สามารถสรุปประเด็นในเรื่องนี้ได้เป็นสามประเด็นคือ
ประเด็นแรก ในขณะสมัครรับเลือกตั้ง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจเป็นผู้ถือหุ้นในธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์หรือไม่
ประเด็นที่สอง บริษัทที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ถือหุ้นนั้นประกอบธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์หรือไม่
ประเด็นที่สาม บริษัทที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ถือหุ้นนั้นยังคงดำเนินธุรกิจอยู่ หรือปิดกิจการไปก่อนที่จะมีการสมัครรับเลือกตั้ง
ทั้งสามประเด็นนี้ กกต. ต้องรวบรวมและไต่สวนพยานหลักฐานให้ครบถ้วนสมบูรณ์จึงจะวินิจฉัยได้ และขณะนี้ก็อยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐานที่ว่านั้น และเนื่องจากบริษัทดังกล่าวไม่ใช่บริษัทมหาชน และไม่ใช่บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แต่เป็นเพียงบริษัทเอกชน ดังนั้นเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้จึงเป็นเอกสารที่กระทำขึ้นโดยผู้คนในบริษัทนั้นและเก็บรักษาอยู่ที่บริษัทนั้นจึงเป็นการยากที่จะแสวงหาพยานหลักฐานมาพิสูจน์ในเรื่องนี้ เพราะในทางพยานหลักฐานนั้นต้องถือว่าพยานหลักฐานอยู่กับฝ่ายของผู้ถูกกล่าวหา
ซึ่งในประเด็นนี้ก็มีการตั้งประเด็นว่าได้มีการโอนหุ้นกันไปก่อนแล้ว แม้หากจะมีการโอนหุ้นกันในภายหลังระหว่างผู้รับโอนกับบุคคลอื่น ก็เป็นเรื่องระหว่างผู้รับโอนกับผู้ที่รับโอนคนใหม่ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผู้โอนคนเดิม ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาเขาก็มีสิทธิ์ที่จะโต้แย้งได้ จึงเป็นหน้าที่ของ กกต. ที่จะต้องใช้ความพยายามในการรวบรวมพยานหลักฐานในส่วนนี้
สำหรับประเด็นเรื่องบริษัทที่ถือหุ้นทำธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์หรือไม่ ก็มีการตั้งประเด็นที่พอเข้าใจได้ว่าไม่ได้ทำธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ แต่เป็นการทำธุรกิจรับจ้างพิมพ์ จึงทำให้ประเด็นเรื่องธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ต้องรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม
ที่มีการอ้างว่าศาลฎีกาเคยวางบรรทัดฐานว่าการถือหุ้นในบริษัทที่มีข้อความในหนังสือบริคณห์สนธิว่าทำธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ แม้หากจะไม่ได้ทำธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ ก็ถือว่าทำธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์นั้น ยังไม่แน่ชัดว่าเป็นประเด็นอย่างเดียวกันหรือไม่และเป็นประเด็นวินิจฉัยอย่างเดียวกันหรือไม่ เพราะถ้าหากไม่ใช่ก็อ้างอิงเป็นบรรทัดฐานไม่ได้
ที่สำคัญคือ ถ้าหากนี่คือบรรทัดฐานที่มีอยู่จริงแล้วจะเกิดผลใหญ่หลวงยิ่งนัก นั่นหมายความว่าใครก็ตามที่ถือหุ้นในบริษัทใดๆ ก็จะถูกถือว่าถือหุ้นในธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ทั้งสิ้น เพราะว่าในแบบพิมพ์มาตรฐานของทางราชการของหนังสือบริคณห์สนธิของทุกบริษัทจะเป็นแบบมาตรฐานอย่างเดียวกันที่ทางราชการจัดทำขึ้นเพื่อให้ใช้เป็นการทั่วไป เพื่อป้องกันปัญหาในภายหน้าว่ากิจการที่ทำไม่ได้อยู่ในวัตถุประสงค์ของบริษัท
เพราะหนังสือบริคณห์สนธินั้นคือเอกสารที่เป็นหลักฐานแสดงวัตถุประสงค์ของกิจการว่าสามารถทำกิจการอะไรได้บ้าง แต่ไม่ได้หมายความว่าบริษัทจะต้องทำกิจการนั้น ซึ่งน่าจะต้องดูจากความเป็นจริง
ดังเช่นการถือหุ้นในกิจการที่มีการซื้อขายหุ้นกันในตลาดหลักทรัพย์ฯหรือนอกตลาดหลักทรัพย์ฯก็ตาม บริษัทเหล่านี้ก็จะมีข้อความระบุในหนังสือบริคณห์สนธิว่ามีวัตถุประสงค์ในการทำธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ด้วยเหมือนกัน แต่ในความเป็นจริงไม่ได้ทำธุรกิจนั้น
เพราะเหตุนี้ถ้าถือว่ามีบรรทัดฐานว่าการถือหุ้นในบริษัทที่มีข้อความในหนังสือบริคณห์สนธิว่าบริษัทมีวัตถุประสงค์ทำธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์แล้ว ถึงแม้ไม่ทำธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ก็ถือว่าทำ อย่างนี้ผู้สมัครรับเลือกตั้งเกือบทั้งหมดที่ถือหุ้นในบริษัทต่างๆ ก็จะขาดคุณสมบัติเช่นเดียวกันด้วย
สำหรับประเด็นเรื่องบริษัทที่ถือหุ้นเลิกกิจการไปแล้วหรือไม่นั้น เป็นประเด็นที่มีการตั้งเป็นข้อต่อสู้ชัดเจนอยู่แล้วว่าเมื่อบริษัทเลิกกิจการไปแล้วก็ไม่ได้ประกอบกิจการสื่อสิ่งพิมพ์ ซึ่งเป็นข้อต่อสู้ที่ต้องตรวจสอบไต่สวนตามที่กฎหมายบัญญัติ จะข้ามไปหรือทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ย่อมไม่ได้
การเลิกกิจการใดของบริษัทนั้นจะต้องพิจารณาจากสองสถาน คือ
สถานแรก คณะกรรมการของบริษัทได้มีมติยกเลิกกิจการนั้นหรือไม่
สถานที่สอง หลังจากมีมติแล้ว ได้ยกเลิกการดำเนินกิจการนั้นในการดำเนินการของบริษัทหรือไม่
ทั้งสองสถานนี้ กกต. ก็ต้องตรวจสอบไต่สวนและรวบรวมพยานหลักฐานให้พรั่งพร้อม เพราะขืนรุ่มร่ามหรือประมาทพลาดพลั้ง กกต. ก็มีความรับผิดชอบไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ดังนั้นการที่ กกต. ใช้เวลาในการตรวจสอบไต่สวนเรื่องนี้จึงมีเหตุผลที่ฟังได้
การด่าว่า กกต. ว่าดองเรื่อง ถ่วงเวลา หรืออวยประโยชน์ให้แก่กรณีเป็นเรื่องไร้เหตุผล
แต่ทว่าน่าอนาถใจที่ยุคสมัยนี้ไม่ว่าจะมีเหตุผลหรือไร้เหตุผลก็จะถูกผู้คนมาชี้หน้าด่าว่าเสมอหน้ากัน นี่ก็เป็นผลมาจากการจัดขบวนรบ Social Warrior นั่นเอง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี