คดีทุจริตเงินกู้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือเอ็กซิมแบงก์ (EXIM BANK) เป็นอีกหนึ่งกรณีที่สะท้อนความอุกอาจ ลุแก่อำนาจ และโลภโมโทสันของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร
พฤติการณ์อุกอาจถึงขนาดมีการเจาะจงขอบข่ายให้กิจการโทรคมนาคมได้ผลประโยชน์ด้วย และมีคนของบริษัทครอบครัวนายกฯ เดินทางไปสาธิตอุปกรณ์ด้วยเลย
ทำอย่างกับว่า อำนาจในฐานะรัฐบาลมีไว้เบิกทาง และอำนวยธุรกิจแก่ตระกูลของตนเอง
1. คดีนี้ ป.ป.ช.เป็นโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาฯศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย
ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือดุแลกิจการใด เข้ามีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สำหรับตัวเองหรือผู้อื่นเนื่องด้วยกิจการนั้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 และฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมาอาญา มาตรา 157
กรณีให้เอ็กซิมแบงก์ อนุมัติปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำอัตรา 3% ต่อปี ให้กับรัฐบาลพม่าวงเงิน 4,000 ล้านบาท ในโครงการพัฒนาระบบโทรคมนาคมของพม่า (เมียนมาร์) ซึ่งดอกเบี้ยนั้นต่ำกว่าราคาต้นทุนของเอ็กซิมแบงก์ และเพื่อหวังประโยชน์ในธุรกิจดาวเทียม ที่มีการสั่งซื้ออุปกรณ์จากบริษัท ชินแซทเทอร์ไลท์ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ของตระกูลชินวัตร
ทักษิณหนีคดีไป ไม่ยอมกลับมาขึ้นศาล เพื่อพิสูจน์ตัวเอง
คดีนี้องค์คณะฯ มีคำสั่งประทับรับฟ้องเมื่อวันที่ 30 ก.ค.51 แล้วนัดพิจารณาครั้งแรกเพื่อจะสอบคำให้การ นายทักษิณ ในวันที่ 16 ก.ย.51 แต่ปรากฏว่าขณะนั้น นายทักษิณไม่มาศาล เนื่องจากหลบหนีไปต่างประเทศ องค์คณะฯ จึงออกมายจับให้ตามตัวมาดำเนินคดีนับตั้งแต่นั้น
ต่อมา ศาลได้ดำเนินการตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (วิ อม.) พ.ศ.2560 ออกมาบังคับใช้ มาตรา 28 บัญญัติสาระสำคัญว่า ในกรณีที่ศาลประทับรับฟ้องไว้ตาม มาตรา 27 และศาลได้ส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องให้จำเลยทราบโดยชอบแล้วแต่จำเลยไม่มาศาล และมีการออกหมายจับจำเลยแล้วยังไม่สามารถจับจำเลยได้ภายใน 3 เดือนนับแต่ออกหมายจับ ให้ศาลมีอำนาจพิจารณาคดีได้โดยไม่ต้องกระทำต่อหน้าจำเลย แต่ไม่ตัดสิทธิจำเลยที่จะตั้งทนายความมาดำเนินการแทนตน และไม่ตัดสิทธิหากจำเลยจะมาต่อสู้คดีก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษา
เมื่อนายทักษิณ จำเลย ไม่มาศาล ถือว่าจำเลย ตาม วิ อม. มาตรา 33 ในวันพิจารณาครั้งแรกไม่ว่าด้วยเหตุใด ให้ถือว่าจําเลยให้การปฏิเสธ หลังจากนั้น ศาลได้ดำเนินการไต่สวนเรื่อยมา
2. ปูมลึกในคดีนี้ ถูกตรวจสอบพบในชั้นไต่สวนของ คตส.
กรณีเงินกู้เอ็กซิมแบงก์ ไม่ใช่การให้สินเชื่อปกติ
ไม่เหมือนกรณีการให้สินเชื่อเพื่อความช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้านทั่วไป
กรณีให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) ปล่อยกู้ 4 พันล้านบาท เพื่อให้รัฐบาลพม่านำไปซื้อสินค้าและบริการของชินแซทฯ เป็นหนึ่งในกรณีที่เคยถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาว่าเป็นการอาศัยอำนาจรัฐเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจของตนเองโดยมิชอบ นำไปสู่การยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท เป็นของแผ่นดิน เช่นเดียวกับกรณีอื่นๆ ได้แก่ แปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต, แก้ไขสัญญาสัมปทานลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรเติมเงิน, แก้ไขสัญญาสัมปทานอนุญาตให้ใช้เครือข่ายร่วม (Roaming) และให้หักค่าใช้จ่ายจากรายรับ, กรณีเดี่ยวกับสัมปทานดาวเทียมไทยคม ฯลฯ
เงื่อนปมที่พบจากการไต่สวนของ คตส. เช่น
2.1 ในการประชุมผู้นำร่วมกัน 4 ประเทศ คือ ลาว พม่า กัมพูชา และไทย ที่เมืองพุกาม ประเทศสหภาพพม่า เมื่อวันที่ 10 - 12 พฤศจิกายน 2546 ได้มีข้อตกลงความช่วยเหลือร่วมกัน 5 ด้าน คือ 1. ด้านการค้าและการลงทุน 2. ด้านการเกษตรและอุตสาหกรรม 3. ด้านการเชื่อมเส้นทางคมนาคมในภูมิภาค 4. ด้านการท่องเที่ยว และ 5. ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ แต่ไม่มีความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านโทรคมนาคมแต่อย่างใด
นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มาให้ข้อมูลต่อ คตส. ระบุว่า ได้เคยชี้แจงกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของพม่า ว่า “ไม่สมควรจะมีความร่วมมือด้านโทรคมนาคมเป็นการเฉพาะกับประเทศไทย เนื่องจากนายกรัฐมนตรีไทยเป็นเจ้าของกิจการโทรคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดภายในประเทศ ซึ่งจะนำไปสู่ข้อครหาว่ามีผลประโยชน์ส่วนตัวเกี่ยวข้อง” และได้ชี้แจงในลักษณะเดียวกันต่อรัฐมนตรีต่างประเทศของลาว กัมพูชา ด้วย ซึ่งทุกคนก็เข้าใจ จึงไม่มีความร่วมมือด้านโทรคมนาคมอยู่ในปฏิญญาพุกาม
แต่ปรากฏว่า ในเวลาต่อมา อดีตนายกรัฐมนตรี กลับให้ความช่วยเหลือในโครงการพัฒนาด้านโทรคมนาคมแก่รัฐบาลพม่า โดยสั่งการให้เอ็กซิมแบงก์ปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำให้แก่รัฐบาลพม่า พร้อมทั้งเพิ่มวงเงินกู้ เอื้อแก่การจัดซื้อจัดหาและพัฒนาระบบโทรคมนาคมจากบริษัทเครือชินคอร์ป
2.2 เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2549 กระทรวงต่างประเทศสหภาพพม่า ได้มีหนังสือถึงกระทรวงการต่างประเทศ ขอเพิ่มวงเงินกู้จาก 3,000 ล้านบาท เป็น 5,000 ล้านบาท และได้มีหนังสือทวงถามมาถึงรัฐบาลไทยในการปล่อยกู้โครงการดังกล่าว
ต่อมา เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2549 ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย จึงได้นำเรื่องกราบเรียน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งได้สั่งการด้วยวาจาให้พบกันครึ่งทาง โดยให้พม่ากู้ 4,000 ล้านบาท และได้สั่งให้ทำหนังสือตอบทางพม่าไปด้วยว่า “นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้เพิ่มวงเงินกู้จาก 3,000 ล้านบาท เป็น 4,000 ล้านบาท”
นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย ในฐานะรมว.การต่างประเทศ จึงได้มีหนังสือลงวันที่ 2 มีนาคม 2547 แจ้งต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหภาพพม่า โดยอ้างถึงคำสั่งของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ว่า “นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้เพิ่มวงเงินจาก 3,000 ล้านบาท เป็น 4,000 ล้านบาท และพร้อมจะให้การอุดหนุนอัตราดอกเบี้ยบางส่วนที่พม่าต้องจ่ายตามข้อเสนอของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าฯ”
การเพิ่มวงเงินกู้จาก 3,000 เป็น 4,000 ล้านบาท เนื่องจากกระทรวงวางแผนและพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติพม่า ได้มีหนังสือขอกู้เพื่อพัฒนาระบบโทรคมนาคมรวม 3 โครงการ เป็นเงิน 24.05 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 962 ล้านบาท ทั้ง 3 โครงการ ได้ผู้ขายสินค้าและบริการ คือ บริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน)
2.3 การให้เงินกู้แก่สหภาพพม่าจำนวน 4,000 ล้านบาท ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 เป็นอัตราที่ทำให้เอ็กซิมแบงก์ เกิดผลขาดทุน เพราะให้กู้ต่ำกว่าต้นทุน
ช่วงนั้น ต้นทุนของธนาคารอยู่ที่ประมาณร้อยละ 5.75 ต่อปี (คำให้การของนายปกรณ์ มาลากุล อดีตประธานเอ็กซิมแบงก์) โดยไม่รวมค่าใช้จ่ายดำเนินการของธนาคารอีกร้อยละ 0.75-1.00
นั่นทำให้เอ็กซิมแบงก์ มีผลขาดทุนที่จะต้องขอให้รัฐบาลชดเชยตามมาตรา 23 แห่ง พ.ร.บ.ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2536 ตลอดอายุสัญญากู้ 12 ปี เป็นเงิน 670,436,201.25 บาท ซึ่งรัฐบาลจะต้องชดเชยให้แก่เอ็กซิมแบงก์ ด้วยงบประมาณแผ่นดิน
ด้วยเหตุนี้เอง เอ็กซิมแบงก์จึงอ้างได้ว่าตนเองไม่ได้รับความเสียหายจากสินเชื่อนี้ ตราบใดที่ยังได้รับการชดเชยจากงบประมาณแผ่นดินของประชาชนผู้เสียภาษีชาวไทยเรานั่นเอง
3. ล่าสุด เมื่อวานนี้ 23 เมษายน 2562 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาว่า นายทักษิณ ชินวัตร มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 (เดิม) ให้ลงทาจำคุก 3 ปี !
สัตว์โลก ย่อมเป็นไปตามกรรม
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี