ภายหลังความเคลือบแคลงใจอยู่นาน ในที่สุด กกต. มีมติรอบแรกในการแจ้งข้อกล่าวหานายธนาธร ปมถือหุ้นสื่อบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด กรณีมีลักษณะต้องห้ามต่อการเป็นผู้สมัคร สส. ซึ่งจะมีการดำเนินการในขั้นตอนไต่สวนต่อไป โดยสำหรับนายธนาธรที่มีโอกาสอีกหนึ่งครั้ง ที่ต้องมาชี้แจงตามกรอบระยะเวลา 7 วันที่กำหนดไว้ จึงเป็นเหตุให้เจ้าตัวต้องรีบเดินทางกลับจากต่างประเทศ ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าโอกาสรอดในครั้งนี้คงน้อย? แต่ก็ยังถือว่ามีโอกาส ด้วยข้อสันนิษฐาน และหลักฐานต่างๆ ซึ่งเป็นที่น่าสนใจว่าคราวนี้พรรคอนาคตใหม่จะแก้เกมอย่างไรอีก เพราะที่ผ่านมาดูเหมือนการแถลงข่าวแต่ละครั้ง ยังไม่สามารถเรียกความน่าเชื่อถือจากประชาชนได้?
เส้นทางการเมืองของนายธนาธรดูจะถึงทางตันหรือไม่? หรืออาจจะรอด หากชี้แจงได้ดี ยังไม่นับรวมเส้นทางของเพื่อนคู่คิดอย่างนายปิยบุตร และพรรคอนาคตใหม่รวมถึงความผิดอื่นๆ ที่ กกต. ยังไม่ได้ประกาศในกรณีใบเหลือง ใบส้ม ใบแดงของผู้สมัครคนอื่นๆ ในพรรค? ซึ่งในครั้งนี้ดูจะหนักกว่าครั้งอื่นๆ จนถึงขั้นมีสิทธิหลุดเก้าอี้ สส. เพราะเข้าข่ายผิดคุณสมบัติ? จากกรณีการโอนหุ้นใน บริษัทวี-ลัค มีเดีย จำกัด หากแต่เมื่อพิสูจน์ชัด และเป็นไปตามข้อกล่าวหา นายธนาธรก็จะมีสภาพไม่ต่างจากผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ จังหวัดอ่างทอง หรือผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐ จังหวัดระยองที่โดนตัดสิทธิไปก่อนเลือกตั้งจากความผิดเดียวกันนี้เอง แต่สิ่งที่พิเศษและแตกต่างกว่าคือ นายธนาธรเป็นหัวหน้าพรรคซึ่งก็คือเป็นกรรมการบริหารพรรค รวมถึงเป็นผู้สมัครในระบบบัญชีรายชื่อ ไม่ใช่ผู้สมัครเขต จึงเป็นเรื่องยุ่งยากในการตีความผิดของนายธนาธร ซึ่งจะส่งผลอย่างไรต่อพรรคอนาคตใหม่ด้วยหรือไม่?
ซึ่งกรณีการถือหุ้นสื่อของนายธนาธร มีจุดเริ่มต้นมาจากการที่สำนักข่าวแห่งหนึ่งออกมาเปิดเผยในช่วงก่อนเลือกตั้งไม่กี่วันว่านายธนาธร ได้โอนหุ้นบริษัทวี-ลัค มีเดีย จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจประเภทสื่อสิ่งพิมพ์ให้กับนางสมพร ที่เป็นมารดา ก่อนวันเลือกตั้งเพียง 2-3 วัน ซึ่งก็คือวันที่ 21 มี.ค.ตามรายละเอียดในเอกสารที่สำนักข่าวดังกล่าวนำมาแสดง จึงทำให้เกิดการตั้งคำถามว่า เข้าข่ายลักษณะที่ต้องห้ามสมัครรับเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญหรือไม่? แม้ภายหลังนายธนาธร จะออกมาแสดงท่าทีถึงเรื่องดังกล่าว โดยการแสดงใบตราสารโอนหุ้น ซึ่งนายธนาธรอ้างว่าเสร็จสิ้นไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. แต่จุดนี้เองที่ดูจะมีจุดน่าสงสัยมากมาย? จนนำมาสู่การตั้งข้อสังเกตของหลายฝ่าย? ซึ่งที่จริงแล้วเมื่อดูจากวันที่รายงานข่าวแล้ว ก็น่าจะแสดงให้เห็นว่านายธนาธรรับรู้ในกรณีดังกล่าวตั้งแต่ก่อนวันเลือกตั้ง แต่ทว่าทิศทางการตอบคำถามสื่อ ของพรรคอนาคตใหม่ไม่ว่าจะมาจากนายธนาธร นายปิยบุตร หรือโฆษกของพรรค ดูจะมีทิศทางการตอบที่แตกต่างกัน ไปตามกระแสข่าวจับผิดแต่ละครั้งหรือไม่?
อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลังมานี้ ประเด็นการตอบมุ่งไปที่การชี้แจงว่าเป็นประเด็นทางการเมือง จนหลายครั้งประเด็นของนายธนาธร ถูกมองว่าเป็นการใช้มวลชนมาเป็นเกราะกำบังหรือไม่? ในทำนองถูกอำนาจรัฐกลั่นแกล้ง แทนที่จะมาพูดถึงข้อเท็จจริงของคดี เพื่อให้ประเด็นที่ประชาชนสงสัยถูกคลายไป ทำให้ชวนคิดถึงอดีตนายกฯนายทักษิณที่ก็ใช้คำพูดในทำนองเดียวกัน เวลาโดนคดี หากต่างกันตรงที่นายธนาธรยังเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ ที่มีความสดใหม่ และประชาชนยังเชื่อศรัทธาดังนั้นหากไม่สามารถตอบข้อสงสัยได้อย่างชัดเจนในเรื่องนี้ ต่อไปคงลำบาก?
ด้านนายปิยบุตร แม้จะออกมาตอบประเด็นนี้แทนนายธนาธร โดยการนำใบเสร็จอีซีพาสมาเป็นหลักฐานว่านายธนาธรได้เดินทางกลับมายัง กทม. ในวันโอนหุ้น แต่ก็ดูจะเป็นหลักฐานที่ยังมีช่องโหว่อยู่หลายประเด็น โดยเรื่องแรกคือ ชื่อของผู้ชำระเงิน ซึ่งมิได้เป็นชื่อนายธนาธร จึงเท่ากับว่าไม่สามารถแก้ต่างอย่างแน่ชัดได้ว่าเป็นหลักฐานที่ระบุตำแหน่งของนายธนาธรในขณะนั้นจริงๆ หรือไม่? นอกจากนี้ ประเด็นต่อมาที่ยิ่งน่าสงสัยคือเรื่องเวลา ซึ่งในวันที่ 22 เม.ย.นั้น นายปิยบุตรได้ออกมาแถลงว่าในวันที่ 8 ม.ค.นั้น นายธนาธรได้ลงพื้นที่ช่วยหาเสียงที่จังหวัดบุรีรัมย์ ก่อนจะขึ้นรถตู้กลับในช่วงบ่าย ที่แม้จะมีหลักฐานการเดินทางกลับกรุงเทพฯผ่านขึ้นอีซีพาสที่ด่านธัญบุรีในเวลา 14.57 น. แต่การเดินทางจากบุรีรัมย์มายังด่านธัญบุรีนั้นในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ทำให้หลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยว่าเหตุใดนายธนาธรจึงเดินทางได้รวดเร็วขนาดนั้น? ซึ่งในวันต่อมานายปิยบุตรกลับออกมาพูดใหม่ว่า นายธนาธรกลับก่อนในช่วงเช้า ส่วนตัวเองกลับช่วงบ่าย นี่ยังไม่นับรวมถึงการที่นายธนาธรเคยบอกกับผู้สื่อข่าวก่อนหน้าในวันที่ 3 เม.ย.ว่าวันที่8 ม.ค. อยู่กรุงเทพฯ ไม่ได้ไปไหน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเพราะจำวันผิดหรืออย่างไร แต่ด้วยคำแถลงที่ดูย้อนแย้งไปมาเช่นนี้ หลายคนจึงเกิดคำถามว่าใครบ้างที่พูดความจริง? ความจริงทางไหนที่ถูกต้องที่สุด? หรือสุดท้ายความจริงยังไม่มี?
นอกจากนี้ คำแถลงของพรรคอนาคตใหม่เกี่ยวกับกรณีคดีของนายธนาธร ซึ่งในความคาดหวังของหลายคนต่อพรรคอนาคตใหม่ คือน่าจะนำหลักฐานที่มีน้ำหนัก มาตอบโต้กรณีดังกล่าว แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าแทนที่จะได้เห็นการโต้ตอบด้วยหลักฐานต่อกรณีข้อสงสัยเรื่องช่วงเวลา กลับถูกมองว่าพยายามเบี่ยงเบนประเด็น? แทนที่จะแก้ต่างด้วยข้อเท็จจริงว่านายธนาธรไม่ผิดอย่างไร สิ่งที่หลายคนเห็นกลับเป็นการออกมาอ้างเรื่องการถูกกลั่นแกล้งต่างๆ นานา? ที่ดูเหมือนเป็นการสร้างอารมณ์ร่วมให้บรรดามวลชนผู้สนับสนุนพรรคหรือไม่?
อีกเรื่องหนึ่งที่น่าสังเกตคือ แม้พรรคอนาคตใหม่จะได้คะแนนเสียงชนิดที่ว่าเหนือความคาดหมาย ได้ที่นั่งจำนวนไม่น้อย แต่เราก็ยังได้เห็นนายธนาธรและพรรคอนาคตใหม่ที่พยายามออกมาโจมตีการทำงานของ กกต. ซึ่งเป็นเรื่องที่หลายคนก็ยังประหลาดใจถึงมูลเหตุที่แท้จริงของการวิพากษ์วิจารณ์ของนายธนาธร? จนมาวันนี้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นชัดเจนขึ้น หลายคนจึงตั้งข้อสังเกตต่อประเด็นการดิสเครดิต กกต. ของพรรคอนาคตใหม่ ว่ามีสาเหตุจากอะไรกันแน่?
ที่ชวนให้คิดอีกเรื่องคือ การเดินทางไปต่างประเทศของนายธนาธร ซึ่งแม้เจ้าตัวจะรายงานว่ากำลังเดินทางกลับ แต่ก็ยังน่าคิดอยู่ดีว่ามีเหตุอันควรหรือไม่ในการเดินทางครั้งนี้? โดยแม้เหตุผลของการเดินทางตามที่นายธนาธรบอกไว้คือการไปเยือนองค์การสหประชาชาติ แต่สำหรับพรรคอนาคตใหม่ เวลานี้ก็ดูจะเป็นช่วงคับขันไม่น้อย เพราะนอกจากตัวนายธนาธรเองก็มีภาระหน้าที่ที่จะต้องเตรียมสู้คดี ในการเตรียมหลักฐานที่เกี่ยวข้องในการพิสูจน์ตนเองไม่ได้ผิดอย่างที่โดนกล่าวหา ซ้ำบุคคลที่สำคัญของพรรคอย่างนายปิยบุตรก็ยังมีคดีพัวพัน นอกจากนี้ สถานการณ์การเมืองตอนนี้ที่ผลการเลือกตั้งยังไม่ลงตัวก็น่าจะมีหลายๆ เรื่องที่นายธนาธรต้องจัดการภายในพรรคอยู่? ทั้งหมดนี้จึงดูเหมือนว่าเป็นสถานการณ์ไม่น่าจะเอื้อหากคิดจะไปต่างประเทศในช่วงนี้? จึงอดคิดไม่ได้ว่าสาเหตุที่แท้จริงของการเดินทางไปต่างประเทศในครั้งนี้คืออะไร? และมีความจำเป็นที่สอดคล้องกับการสู้คดีของตนเองหรือไม่? เพราะก่อนหน้านี้นายธนาธรได้ดำเนินบทบาทอันเป็นที่น่าสงสัยจากหลายฝ่ายถึงเรื่องการเชิญคณะทูตจากต่างประเทศมาสังเกตการณ์ในการรับทราบข้อกล่าวหาในมาตรา 116 ของนายธนาธรเมื่อวันที่ 6 เม.ย. ที่ผ่านมา?
ท้ายที่สุดแล้ว ความจริงเป็นอย่างไรคงหนีไม่พ้น แต่นายธนาธรยังมีโอกาสอีกหนึ่งครั้งในการกลับมาชี้แจงกับ กกต. ด้วยตนเอง ถึงความบริสุทธิ์ใจและหลักฐานยืนยันการโอนหุ้นก่อนเวลาตามกฎหมายเลือกตั้ง แต่หากหลักฐานไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อสงสัยได้ หลายคนก็หวังว่าจะไม่ได้ยินคำว่าบกพร่องโดยสุจริตกลับมาอีกครั้ง?
“…ก่อนที่พายุฝนจะโหมกระหน่ำมักเป็นช่วงเวลาที่อึดอัดที่สุด
เฉกเช่นกับก่อนอรุณจะรุ่ง มักเป็นช่วงเวลามืดมิดที่สุด…”
(โกวเล้ง จากเรื่องซาเสียวเอี้ย)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี