ในโลกปัจจุบันนี้ เหลือแค่ 5 ประเทศเท่านั้น ที่ยังมุ่งรักษาความเป็นเผด็จการพรรคเดียวนั่นคือ จีน เกาหลีเหนือ เวียดนาม ลาว และคิวบา ซึ่งถูกจัดเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ กลุ่มประเทศเผด็จการอีกรูปแบบหนึ่งคือ รัฐราชาธิปไตย แบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งเป็นประเทศมุสลิม ได้แก่ บรูไน และประเทศในตะวันออกกลาง โอมาน คูเวต บาห์เรน กาตาร์ ซาอุดีอาระเบีย และกึ่งสมบูรณาญาสิทธิราชย์คือ จอร์แดน และโมร็อกโก ที่เหลืออีก 170-180 ประเทศ ต่างมุ่งไปในทิศทางประชาธิปไตย ที่มีหลายๆ พรรคมาแข่งขันกันเป็นรัฐบาล โดยบางประเทศ ก็ประสบความสำเร็จก้าวไปเป็นประเทศประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบ ประชาชนพลเมืองมีสิทธิเสรีภาพ และได้รับการปกครองด้วยระบบกฎหมายอย่างเท่าเทียม ภายใต้หลักธรรมาภิบาล แต่ก็ยังเหลืออีกหลายๆ ประเทศ ที่ยังต้องเพียรพยายามในการมุ่งสู่การเป็นสังคมประชาธิปไตยกันต่อไป และส่วนใหญ่ที่ประชาธิปไตยของประเทศเหล่านี้เดินหน้าไปด้วยความกระท่อนกระแท่น ก็มิใช่เป็นเพราะประชาชนพลเมืองอ่อนแอในเรื่องความเป็นพลเมืองประชาธิปไตย หากแต่เป็นเพราะผู้นำและพรรคการเมืองบิดเบือนประชาธิปไตยและใช้อำนาจหาประโยชน์เข้าตนต่างหาก
อย่างไรก็ดี ในบางประเทศ ประชาชนพลเมืองนั้นได้ประสบความสำเร็จในการร่วมมือกันขับไล่บรรดานักประชาธิปไตยจอมปลอมเหล่านี้ออกไปจากการเมืองของเขาแล้ว และก็หวังว่าสังคมประชาธิปไตยที่เพิ่งเกิดใหม่นี้ จะก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง
แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า หลายๆ ประเทศ ที่ประชาชนพลเมืองสามารถขับไล่เผด็จการประชาธิปไตยออกไปแล้ว กลับไม่ได้รับการสานต่ออุดมการณ์ประชาธิปไตย เนื่องจากมีกลุ่มประชาธิปไตยจอมปลอมกลุ่มใหม่ ตบเท้าเข้ามายึดอำนาจแทนที่เด่นชัดมาก ณ วันนี้คือ อียิปต์ และรองลงมาคือ พม่า และไทยเรา
นอกจากนั้น ในหลายๆ กรณี เมื่อประชาชนพลเมืองเริ่มรวมตัวขับไล่ตัวถ่วงประชาธิปไตยกันระยะหนึ่ง ก็มีฝ่ายกองทัพที่เข้ามาแทรกกลางคัน ทำการ “เล่นการเมือง” ผ่านการยึดอำนาจชั่วคราว โดยให้เหตุผลว่า เพื่อจะจัดการบ้านเมืองให้เรียบร้อย แล้วก็คืนอำนาจให้กับประชาชน หรือฟื้นชีวิตสังคมประชาธิปไตยให้กับประเทศของเขา
บางประเทศ ฝ่ายกองทัพเข้ามายึดอำนาจ แล้วก็จัดการเลือกตั้งอย่างรวดเร็วหลังจากปัดกวาดเช็ดถูแล้ว ในขณะที่อีกหลายๆ ประเทศ กองทัพก็หาทางอยู่ในอำนาจต่อไป หรือไม่ก็อย่างน้อย ก็ยังทำตัวเป็นส่วนหนึ่งของการบ้านการเมือง ทำให้กองทัพกลายเป็นพลังการเมืองที่สำคัญพลังหนึ่งซึ่งขัดต่อหลักประชาธิปไตย
ตัวอย่างเช่น ประเทศพม่า ที่แม้ฝ่ายกองทัพครองอำนาจมาโดยตลอดร่วม 50 ปี แต่สุดท้ายก็ถูกแรงกดดันทั้งจากภายในและภายนอกประเทศบีบคั้น ทำให้ยอมถอยก้าวหนึ่ง ถอนตัวออกมาจากวงการเมืองเสียกึ่งหนึ่ง เพื่อการคงบทบาททางการเมืองได้ต่อไป กลายเป็นประชาธิปไตยแบบผสมผสานระหว่างฝ่ายมาจากการเมือง กับฝ่ายกองทัพ
ในขณะที่ของไทยเรานั้นมาคนละทาง แต่ผลก็คล้ายกัน เพราะฝ่ายกองทัพปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจมาหลายครั้งหลายครา สลับกับการจัดการเลือกตั้งก็หลายหน บ่อยเข้าก็คงขี้เกียจที่จะต้องเข้ายึดมาอำนาจกันอีก ก็เลยเปลี่ยนทิศทาง ไปทำการเขียนบทกฎหมายรัฐธรรมนูญ เพื่อให้กองทัพมีบทบาททางการเมืองอย่างเปิดเผยตามกฎหมาย (ที่เขียนเอง) ก็เลยกลายเป็นสังคมประชาธิปไตยลูกผสมในทำนองเดียวกับพม่าโดยปริยาย
ซึ่งคล้ายๆ กับ ประเทศปากีสถาน ที่ฝ่ายกองทัพนั้นไม่มีที่นั่งในรัฐสภา แต่จะอยู่เบื้องหลัง และก็สามารถใช้อิทธิพลในการบงการฝ่ายรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งได้
นอกจากนั้น ในอีกหลายประเทศ ฝ่ายกองทัพถือว่าเป็นผู้ค้ำจุนรัฐบาล เช่น ในกรณีเวเนซุเอลา หรือแอลจีเรีย และในบางครั้ง ฝ่ายกองทัพยังสามารถแสดงพลังเป็นตัวแปร ตัวเปลี่ยน ให้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เมื่อคณะรัฐบาลหนึ่งใดล้มเหลวในการบริหารราชการบ้านเมือง ประชาชนอดอยาก ลำเค็ญ และออกมาประท้วง เช่น ในกรณีซิมบับเว หรือเคนยา เป็นต้น
ประเด็นปัญหาที่กองทัพเข้ามามีบทบาททางการเมือง นั้นมีหลายสาเหตุสำคัญๆ ได้แก่
- กองทัพ หิวโหยอำนาจด้วยตนเอง
- กองทัพ เห็นว่าตัวตนเท่านั้นที่จะสามารถนำพาบ้านเมืองได้
- กองทัพ เห็นว่า ฝ่ายการเมืองมีแต่คนเลวๆไม่สามารถพึ่งพาได้
- กองทัพ เท่านั้นคือ ผู้ปกป้องรักษาบ้านเมือง และบริหารบ้านเมืองเป็น
- กองทัพ ไม่เชื่อในระบอบประชาธิปไตย หรือไม่เชื่อว่าประชาชนพลเมือง สามารถควบคุม กำกับ ดูแล ฝ่ายการเมืองพลเรือนได้
แต่ในทางตรงกันข้ามกันนั้น มีอีกหลายประเทศที่ฝ่ายกองทัพ ดำรงตนเป็นทหารอาชีพ โดยยืนอยู่บนพื้นฐานที่ว่า เรื่องการเมืองมิใช่เรื่องของกองทัพ เมื่อมีปัญหาฝ่ายการเมือง พลเมืองต้องไปลงมือแก้ไขกันเอง ปล่อยให้ประชาชนพลเมืองขับเคี่ยวกันให้ถึงที่สุด หรือปล่อยให้เป็นเรื่องภาระหน้าที่ขององค์ประมุข หรือตัวประมุข ที่จะเป็นด่าน เป็นป้อมปราการสุดท้ายที่จะลงมาแก้ไขปัญหาบ้านเมือง
ซึ่งตัวอย่างก็คือ ทหารมาเลเซีย ที่มีหลักและประเพณีปฏิบัติที่จะไม่ไปเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจทางการเมือง เช่นเดียวกันกับทหารอินโดนีเซีย ที่ต่างเข็ดหลาบ กับการเข้าไปยุ่งกับการเมืองในอดีตมายาวนาน จนกระทั่งตระหนักได้ว่า ประชาชนพลเมืองไม่ชอบและไม่ยอมรับการชี้นำจากทางกองทัพอีกต่อไป
ในเกาหลีใต้ ไต้หวัน นั้น ฝ่ายกองทัพได้ถอนตัวจากการเมืองโดยสิ้นเชิง เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยถูกฝ่ายสหรัฐอเมริกาที่เป็นมิตรประเทศในขณะนั้นบีบคั้น รวมทั้งประชาชนก็ออกมาเรียกร้องการมีส่วนร่วมทางการเมือง
และในวันนี้ โลกก็ต่างเฝ้ารอดูว่า เมื่อไหร่ที่กองทัพเวเนซุเอลา และกองทัพแอลจีเรีย จะเลือกละทิ้งกลุ่มอำนาจสามานย์ แล้วเดินมายืนเคียงข้างกับฝั่งประชาชนเสียที
ในทิศทางเดียวกัน โลกก็ยังรอดูด้วยว่า ทหารไทย กับการเมืองของประเทศไทย นั้นจะเดินหน้าไปได้อีกกี่น้ำ และประชาชนพลเมืองส่วนหนึ่งที่พึงพอใจกองทัพ จะเลิกคิด เลิกเชื่อมั่นฝีมือฝ่ายกองทัพในการแก้ปัญหาบ้านเมือง ที่ไม่มีความคืบหน้า
ฝ่ายกองทัพนั้นแม้จะอ้างหน้าที่ ที่จะค้ำจุนประชาธิปไตย โดยจะไม่ยอมให้ฝ่ายประชาธิปไตยจอมปลอมมาปกครองบ้านเมือง แต่อีกปัจจัยที่สำคัญก็คือ กองทัพจะต้องเริ่มหยุดการคิด การปฏิบัติ ในการเอาเรื่องของบ้านเมืองมาเป็นของตนแต่เพียงผู้เดียว แล้วก็เดินหน้าไปเดี่ยวๆ โดยไม่ได้ถามความคิดเห็นใคร ไม่ว่าจะเป็นประชาชนพลเมืองที่รักประชาธิปไตย หรือแม้กระทั่งผู้ที่เป็นประมุขสูงสุด ซึ่งในกรณีของไทย พระมหากษัตริย์เป็นองค์ประมุขและทรงเป็นจอมทัพ ฝ่ายกองทัพจะทำการข้ามหน้าข้ามตา (พระพักตร์) ก็ดูกระไรอยู่ และฉะนั้นจะต้องไม่ลืมเลือนประเด็นนี้อีกต่อไปและต้องกลับไปปฏิบัติให้ถูกต้องเสีย สรุปฝ่ายกองทัพจะต้องถวายรายงานข้อคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องบ้านเมือง และจะทำการตัดสินใจเอง เพื่อการปฏิวัติรัฐประหาร ก็ไม่ควรจะเกิดขึ้นอีก และจะเกิดขึ้นอีกมิได้
ฝ่ายกองทัพมีหน้าที่ค้ำราชบัลลังก์ มีหน้าที่รับใช้และยืนเคียงข้างกับประชาชนและความถูกต้องชอบธรรม ฝ่ายกองทัพมิใช่ตัวอำนาจและมิได้เป็นเจ้าของอำนาจ
เมื่อนั้น ประเทศไทยจึงจะกลับไปสู่การปกครองบ้านเมืองด้วยศีลธรรมนำพาอีกครั้ง
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี