ผ่านการหย่อนบัตรเลือกตั้งกันมาแล้ว 1 เดือนเต็มๆ เห็นความหวัง เห็นความสงบ เห็นความสดใสกันบ้างหรือยังครับ?
สิ่งที่เห็นคืออะไรกันบ้าง ทั้งที่เห็นในปัจจุบัน และเมื่อ “มองไปข้างหน้า”
1) ยังไม่มีการรับรอง สส. สักคนเดียว
เข้าใจได้ว่า อยู่ในช่วงของการตรวจสอบก่อนจะประกาศรับรอง เพราะกฎหมายให้เวลาไว้ 60 วัน กำหนดว่าภายใน 60 วัน ให้รับรอง สส. ให้ได้ 95% เปอร์เซ็นต์ เพื่อนำไปสู่การเปิดประชุมสภา ระหว่างนี้จึงเป็นช่วงของการรับเรื่องร้องเรียน ตรวจสอบ ก่อนจะประกาศรับรอง หลายคนรู้สึกวังเวงใจ ทำไมช้าจัง แต่หากเข้าใจขั้นตอนและการทำงาน ก็จะหายวังเวงได้ และนึกเอาใจช่วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ให้ตรวจสอบเสียให้สิ้นสงสัย คนที่ได้รับการรับรองจะได้ปราศจากมลทินให้ต้องไป “สอย” ออกจากสภาทีหลัง
2) ร้องเรียนกันไปกันมา จะหาจุดจบได้ที่ไหน
กกต. ทำงานหนักน่าดู เพราะมีเรื่องร้องเรียนเข้ามามากมาย มีทั้งขอให้ “นับคะแนนใหม่” ขอให้อธิบาย ขอให้จัดการเลือกตั้งใหม่ ขอให้ตรวจสอบการขาดคุณสมบัติ โดยเฉพาะเมื่อเกิดกรณีความเคลือบแคลงเรื่องคุณสมบัติของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ว่าทำการโอนหุ้นของบริษัทวี-ลัค มีเดีย จำกัด ที่เป็นบริษัทด้านสื่อสารมวลชน ทันตามกำหนดเวลาที่จะทำให้เขามีคุณสมบัติครบถ้วนในการจะเป็น “ผู้สมัคร สส.” ก็เกิดการออกมา “ตีความข้อกฎหมาย” กันยกใหญ่ว่า กกต. มีสิทธิตรวจเรื่องนี้แค่ไหน จะให้ใบส้มเขาได้หรือเปล่า ฯลฯจากนั้นก็เกิดการร้องเรียนว่า คนนั้น คนนี้ ก็มีหุ้นหรือเป็นเจ้าของบริษัทที่จดทะเบียนว่าทำกิจการสื่ออยู่ด้วย กกต. จะเอายังไง ท่ามกลางความสับสนแบบนี้ อารมณ์ “เลือกข้าง” ก็ถูกปลุกควบคู่กันไปด้วย และกำลังทำให้ กกต. เป็นองค์กรที่“ไม่เป็นกลาง”
3) จะเปิดสภาได้ไหม
มองไปข้างหน้า มองยังไงก็นึกไม่ออกว่า จะเปิดประชุมสภาได้อย่างสงบ ราบรื่น ได้อย่างไร เพราะแม้กฎหมายจะบอกให้ กกต. รับรอง 95% ก็เปิดประชุมสภาได้ ซึ่ง “ธุระ” ของการเปิดประชุมสภาพ คือ การเลือก ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา และนายกรัฐมนตรี การรับรองแค่ 95% จะเป็นปัญหาไหม เพราะอย่าลืมว่า หากรับรอง สส.เขตได้ครบ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ประกาศรับรอง สส.บัญชีรายชื่อ เพราะคะแนนที่นำมาคำนวณเพื่อหาจำนวน สส.บัญชีรายชื่อ มาจากคะแนนรวมทั่วประเทศ หรือหากรับรอง สส.บัญชีรายชื่อ โดยยังไม่รับรอง สส.เขตบางเขต แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเขตนั้นๆ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง เช่น ต้องเลือกตั้งใหม่ ซึ่งจะมีผลต่อคะแนนรวม และการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของ สส.บัญชีรายชื่อไหม ยิ่งหากรับรองแค่ 95% แล้วเปิดสภา ในภาวะที่เสียงของ 2 ขั้วการเมืองก้ำกึ่งกัน อีก 5% ที่ไม่ได้รับการรับรอง ไม่ได้โอกาสเข้าประชุม เพื่อเลือกประธานและนายกฯ ดังกล่าว จะมีการโวยวายไหม ว่า กกต. ใช้เล่ห์ กัก 5% เอาไว้ เพื่อให้บางฝ่ายได้ประโยชน์ ได้เปรียบ ได้เสียงมากกว่าที่จะโหวต โดยเฉพาะโหวตนายกฯ มันจะวุ่นเพียงใด
4) ตกลงใช้สูตรไหนคำนวณ สส.บัญชีรายชื่อ
ข้อขัดแย้งนี้จะยังคงดำรงอยู่ต่อไป เพราะล่าสุด ศาลไม่รับวินิจฉัย ให้ กกต. พิจารณาเอง เนื่องจากเป็นอำนาจของ กกต. ดังนั้น เมื่อ กกต. เลือกใช้สูตรคำนวณ ไม่ว่าจะสูตรใดก็ตาม ย่อมจะมีคนไม่พอใจ ไม่เห็นพ้อง และร้องเรียน จนสุดท้ายเรื่องต้องกลับไปศาลอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ ศาลคงจะรับไว้พิจารณา เพราะเกิดข้อพิพาท หรือความขัดแย้งที่ต้อง “วินิจฉัย” กระบวนการที่ว่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ศาลจะใช้เวลานานไหม จะมีผลต่อความล่าช้าของการตั้งรัฐบาลไปนานเท่าไร?
5) รัฐบาลจะอยู่นานไหม
มองข้ามขั้นไปถึงการเลือกนายกฯ และตั้งรัฐบาลได้ ซึ่งดูจากความเป็นไปได้ในเวลานี้ ไม่ว่าขั้วเพื่อไทยและพวก เป็นรัฐบาล หรือขั้วพลังประชารัฐและพวกเป็นรัฐบาล เสียงก็จะเกินกึ่งหนึ่งไปไม่มากด้วยกันทั้งคู่ และการตรวจสอบ การตั้งกระทู้ถามสด การอภิปราย ย่อมเกิดขึ้นอย่างเข้มข้นจากฝ่ายค่าน ซึ่งโดยบรรยากาศและสถานการณ์ มันมีความเป็น “ฝ่ายแค้น” กันอยู่ด้วย รัฐบาลจะราบรื่นไหม จะอายุยืนเพียงใด ผมไม่ได้ห่วงรัฐบาลเป็นเรื่องหลักหรอกครับ แต่ห่วงว่า ปัญหาของพี่น้องประชาชน จะได้รับการใส่ใจและแก้ไข ก่อนปัญหาทางการเมืองหรือไม่
6) ระหว่างยังไม่มีรัฐบาลใหม่ บ้านเมืองจะเป็นยังไง
ตอบได้ง่ายๆ ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับคณะรัฐมนตรีในปัจจุบัน ก็ยังทำหน้าที่ “ฝ่ายบริหาร” ต่อไป แต่หากเปิดประชุม สส. ได้ สนช. ก็จะสิ้นสุดการปฏิบัติหน้าที่ในทันที เวลานั้น ฝ่ายบริหารมาจากการรัฐประหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ มาจากการเลือกตั้งสภาคงวุ่นพิลึกล่ะครับ
7) ปัญหาของประชาชน ใครจะแก้
จะให้รัฐบาลปัจจุบันทำ ก็จะมีคนบอกว่า บางเรื่องรีบทำรีบอนุมัติทำไม ทำไมไม่รอรัฐบาลใหม่เขามาตัดสินใจล่ะ แต่ระหว่างรอรัฐบาลใหม่ ต้องรอนานเพียงใด ทุกข์ของประชาขน ปัญหาของประชาชน เช่น ภัยแล้ง ความยากจน ว่างงาน ราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ ต้องรอให้การเมืองทะเลาะกันให้จบก่อน อย่างนั้นหรือ?
นี่ขนาดมองแค่ผิวๆ เผินๆ ยังเต็มไปด้วยความมืนมนขนาดนี้ ในสถานการณ์จริง ปัญหาจะซับซ้อนยิ่งกว่านี้หลายขุมครับ
อยากเห็นนักการเมือง มุ่งมั่นที่จะ “มองไปข้างหน้า” และมองด้วยการทุกข์ร้อนไปกับ “ปัญหาของประชาชน” ซึ่งก็ดีว่าเจออยู่คนหนึ่ง เลยจะขอหยิบยกมาเล่าสู่กันฟังดังนี้
เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2562 เวลา 17.00 น. ที่หอการค้าจังหวัดนครศรีธรรมราช นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ปาฐกถาพิเศษ “อนาคตเศรษฐกิจไทย” และโอกาสในการแก้ปัญหาปากท้องพี่น้องชาวใต้ ต่อสมาชิกหอการค้าจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยมีว่าที่ สส.นครศรีธรรมราช ชัยชนะ เดชเดโช พร้อมด้วยรองผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี และนายถาวรวัฒน์ คงแก้ว ต้อนรับ
นายกรณ์กล่าวกับหอการค้านครศรีธรรมราชในช่วงต้น ยืนยันว่า แม้ผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์จะได้ที่นั่งไม่เป็นไปตามเป้า แต่ก็เป็นแรงกระตุ้นให้พรรคได้รับรู้ในข้อเท็จจริงว่าเราต้องขยันมากขึ้น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนในทุกแขนงอาชีพ พร้อมทั้งยืนยันว่าสมาชิกพรรคไม่หมดกำลังใจและจะเดินหน้าปรับตัวเพื่อทำงานต่อไป จากนั้นได้บรรยายเศรษฐกิจ “อนาคตเศรษฐกิจไทย และโอกาสทางเศรษฐกิจเพื่อปากท้องพี่น้องชาวใต้” โดยระบุว่า
Mega Trends หรือกระแสหลักของโลกทุกวันนี้คือสิ่งจำเป็นที่พรรคการเมือง นักการเมือง ผู้นำ หรือประชาชนต้องรู้เท่าทันโลก ที่วันนี้ Mega Trends ที่จะมีผลกระทบโดยตรงต่อประเทศไทยมีอยู่ 3 เรื่องหลักด้วยกัน
ประเทศไทยได้เข้าสู่การเปลี่ยนแปลงจากการพึ่งพารายได้จากสินค้าการเกษตร สู่ยุคอุตสาหกรรมใหม่ หรือยุคประเทศไทย 3.0 เมื่อ 30 ปีที่แล้ว ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดในโลก รายได้ต่อหัวประชากรเพิ่มขึ้น 3 เท่า ภายใน 8 ปี มีน้อยประเทศในโลกที่สามารถทำได้ และในอีก 20 ปีถัดมา การขยายตัวทางเศรษฐกิจเริ่มอยู่ตัว จนเข้าสู่การชะงักงันเมื่อราว 7 ปีที่แล้ว ส่งผลต่อราคาพืชผลเกษตรตกต่ำ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องได้รับการเยียวยา อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้นมีที่มาที่ไป เกี่ยวกับประเด็นเศรษฐกิจโดยรวม ที่บ่งชี้ให้เห็นว่า ถ้าเราจะยกระดับ สถานะเศรษฐกิจทางประเทศ จากรายได้ระดับปานกลาง ไปสู่ระดับสูง จำเป็นต้องมีการอัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจที่สูงกว่าปัจจุบัน ถ้ายังคงอิงกับระบบ 3.0 จะไม่สามารถไปสู่การประเทศรายได้สูงได้
“เราต้องดูเมกะเทรนด์-กระแสหลัก ซึ่งสำคัญมากโดยในปี 2529 เป็นปีแรกที่ผมทำงาน ปีนั้นมีการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์คือประเทศไทยมีรายได้จากภาคอุตสาหกรรมมากกว่าภาคการเกษตรเป็นครั้งแรก ผมจึงได้ติดตามกระแสหลักอย่างต่อเนื่องและทำให้คิดได้ว่า ถ้าไทยเราเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม ซึ่งมีความต่างจาก การเกษตร ท่องเที่ยว และการบริการ อย่างชัดเจน เพราะอุตสาหกรรมต้องใช้ทุน ประเทศมีความจำเป็นต้องการใช้ทุน ก็เลยคาดการณ์ว่า ตลาดทุน ตลาดหุ้นต้องโต ผมจึงตัดสินใจที่จะทำธุรกิจเกี่ยวกับหุ้น ผมได้เดินตามกระแสหลัก ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นจริง” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าว
นายกรณ์ กล่าวว่า กระแสหลักวันนี้มีอยู่ 3 ประการ คือ
ประการแรก การพัฒนากำลังซื้อของประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นกระแสหลักมาหลายปี จุดเริ่มต้นตั้งแต่ 10 ปี ที่แล้ว สมัยพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ซึ่งเป็นช่วงวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ เป็นจุดเปลี่ยนผ่าน จากยุคที่ตะวันตกขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก มาเป็นทีวีเอเชีย โดย จีนและอินเดีย ที่มีความเปลี่ยนแปลงเห็นได้ชัจากกำลังซื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ผลลัพธ์คือจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่นั้น จนถึงปัจจุบันไปสู่ 15-16 ล้านคนแล้ว เพราะเขารวยขึ้น กำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น และเขาเลือกที่จะมาประเทศที่เขาสะดวกใจมากที่สุดคือประเทศไทย ที่มีนักท่องเที่ยวชาวจีนมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก ประเทศอื่นๆ ที่เก่งเรื่องการท่องเที่ยว คือ ประเทศฝรั่งเศส ที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปมากที่สุดในโลกถึงปีละ 80 ล้านคน ขณะที่ประเทศมีเพียง 30 กว่าล้านคน ทั้งที่พื้นที่ของประเทศใกล้เคียงกัน มี ภูเขา ทะเล แหล่งเที่ยวเมืองที่คล้ายกัน อนาคตเราจะไป 80 กว่าล้านหรือไม่ อยู่ที่ตัวบ่งชี้สำคัญคือ ประเทศเพื่อนบ้านของฝรั่งเศสเป็นประเทศที่ร่ำรวย ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านเรายากจน แต่ขณะนี้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในประเทศเพื่อนบ้านของเรา และเชื่อว่าในอนาคตเราจะไปถึงจุดเดียวกับฝรั่งเศส และอาจจะมากกว่า เนื่องจากเรามีจำนวนประชากรในประเทศเพื่อนบ้านที่มากกว่าเกือบเท่าตัว
กระแสหลักประการสองคือ ปัญหาสังคมผู้สูงอายุ สัดส่วนเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 15% เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เรายังสูงกว่า และแรงงานที่เข้ามาดูแลผู้สูงอายุก็เป็นต่างด้าว อนาคตหากประเทศเขารุ่งเรือง จะทำอย่างไร ใครจะเป็นดูแลผู้สูงอายุให้กับเรา แต่ก่อนสังคมไทยอยู่กันแบบครอบครัวใหญ่ ปัจจุบันครอบครัวเล็กลง คนไทยมีเงินออมไม่เพียงพอ ขณะที่หนี้ครัวเรือน 5 ปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ติดอันดับที่ 1 ในโลก การจะพึ่งพารัฐบาล ก็มีปัญหางบประมาณขาดดุลอยู่แล้วทุกปี จึงเป็นโจทย์สำคัญว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรในเรื่องนี้
กระแสหลักประการที่สาม คือ ความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเกือบทุกธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลง เพราะเทคโนโลยี ทำให้การเข้าถึงการทำธุรกรรมทางการเงิน จึงทำให้สถาบันการเงินลดจำนวนมาก ขณะที่กำลังซื้อของประเทศเพื่อนบ้านเราเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากมีการเพิ่มขึ้นของรายได้ของประชากรจะติดอันดับสูงสุดในโลกไปอีกเป็นสิบปี และทุกประเทศแถวนี้
นิยมสินค้าไทยเพราะมองเป็นพรีเมียม ต้องหาวิธีขยายผลให้ได้
“ความเปลี่ยนแปลงในกระแสหลักที่สำคัญที่สุด คือ การเปลี่ยนแปลงตัวเอง โอกาสของประเทศไทยยังมีอีกมากมาย ขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่ว่าจะวางแผนกันอย่างไร ผมอยากจะบอกว่ามีน้อยประเทศในโลกที่จะมองกระแสโอกาสการค้าขายของการค้าขายได้เท่ากับประเทศไทย จุดยุทธศาสตร์ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงทางบวกที่เกิดขึ้นในโลก ไม่มีประเทศไหนอยู่ในสถานภาพที่ได้เปรียบเท่ากับประเทศไทย ที่เหลืออยู่ที่ตัวเราเอง ว่าเราจะต้องปรับตัวอย่างไร และแน่นอนมันหมายถึงรัฐบาลที่ต้องปรับตัวด้วย” อดีต รมว. คลัง กล่าว
ในความเป็นจริงของสองเรื่องที่นำมาเล่า คือ บ้านเมืองมืดมนด้วย “กลไกเขาวงกต” ที่ออกแบบกันมา ยังหาทางออกลำบาก แต่ในเวลาเดียวกันนั้น ประชาชนก็เต็มไปด้วยความลำบากและมากไปด้วย “ความขัดแย้ง” มีคนคนหนึ่งมองไปในอนาคต มองปัญหาทะลุ มองด้วยความเป็นห่วง แต่คนคนนี้จะมีโอกาสได้เอาความเป็นห่วงและความรู้นั้น ไป “ทำงาน” ไปแก้ไขปัญหา ไปสร้างโอกาสให้ประเทศชาติได้จริงหรือไม่
ขณะที่คนที่อยู่ในอำนาจที่จะแก้ไขปัญหาได้ มองปัญหาออกไหม ทุกข์ร้อนกับปัญหาไหม และมุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาของประชาชนเพียงใด
คำตอบ...ล่องลอยอยู่ในสายลม!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี