นับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ระบอบที่อ้างว่าเป็นประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 นับได้เป็นเวลากว่า 86 ปีแล้ว แม้จะเป็นการปกครองที่เรียกว่าประชาธิปไตยนั้นในทางปฏิบัติแล้วจะพบว่าเป็นประชาธิปไตยเพียงแต่ในนามเกือบตลอดมา กล่าวคือ หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองผู้ปกครองที่แท้จริง
คือคณะราษฎรอ้างว่าเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตย แต่ทางปฏิบัติเป็นการปกครองแบบคณาธิปไตย หรืออำมาตยาธิปไตยมากกว่า
แม้ต่อมามีการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยแบบตะวันตก ซึ่งเวลาไม่นานก็เกิดการรัฐประหารโดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม สลับด้วยการปกครองแบบประชาธิปไตยในระยะสั้นๆ แล้วก็เกิดการปฏิวัติสลับกันเรื่อยมาจนกระทั่งครั้งสุดท้ายเกิดการปฏิวัติโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ นำโดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเข้ามาทำหน้าที่เป็นคนกลางห้ามทัพเนื่องจากความแตกแยกของกลุ่มชนสองกลุ่มที่มีสัญลักษณ์ “เสื้อเหลือง” กับกลุ่มหนึ่งที่ใช้สัญลักษณ์ “เสื้อแดง” การทำการยึดอำนาจและทำหน้าที่เป็นคนกลางห้ามทัพและเข้าบริหารประเทศโดยประกาศว่าจะอยู่ทำหน้าที่เป็นรัฐบาลไม่นาน แต่ในที่สุดก็บริหารประเทศมาเกือบ 5 ปีเต็ม
สิ่งที่รัฐบาลภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ประกาศว่าจะทำการปฏิรูปการเมืองได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ. 2560 ซึ่งจุดเด่นของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่อ้างว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง ซึ่งร่างโดย นายมีชัย ฤชุพันธุ์ กลายเป็นรัฐธรรมนูญที่ยุ่งยากซับซ้อนจนประชาชนไม่ค่อยเข้าใจแม้แต่ประธานผู้ร่างเองติดกับดักของตัวเองจนต้องแก้ไขกันวุ่นวาย ส่วนการปฏิรูประบบราชการ ได้แก่ การปฏิรูปตำรวจก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ปฏิรูปเศรษฐกิจก็มีพฤติกรรมไม่แตกต่างกว่านักการเมืองที่เป็นสาเหตุในการทำการปฏิวัติ ทั้งพรรคการเมืองที่สนับสนุนให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ไปกวาดต้อนนักการเมืองสีเทาที่ตนเคยประณามเอามาเป็นฐานทางการเมือง
การปฏิรูปข้าราชการตำรวจซึ่งเป็นเรื่องหลักมีการตั้งคณะกรรมการปฏิรูปออกข่าวอย่างใหญ่โต แต่ผลปรากฏว่าไม่มีเปลี่ยนแปลงแต่กลับมีปัญหามากยิ่งขึ้น การปฏิรูปการศึกษาก็เช่นกันซึ่งเป็นเรื่องที่จำเป็นต่ออนาคตของชาติ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงทางสังคมของโลกซึ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าในอดีต การศึกษาซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จ ความเหลื่อมล้ำในทางสังคมก็เช่นกันแทนที่จะปรับสังคมตามระบอบสังคมนิยมประชาธิปไตยคือการสร้างชนชั้นกลางให้เป็นคนส่วนใหญ่ของสังคม แต่นโยบายกลับกลายเป็นการสร้างสังคมให้เกิด “รวยกระจุก จนกระจาย” เพราะในหลักสังคมนิยมประชาธิปไตยการช่วยคนจนด้วยการให้เบ็ดและเหยื่อไปตกปลา ไม่ใช่การแจกปลาให้คนจน
สรุปรวมความว่า เกือบเวลา 5 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลภายใต้การบริหารประเทศของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ประสบความสำเร็จอย่างดี คือ การทำให้สังคมสงบเพระมีมาตรา 44 เป็นเครื่องมือ ฉะนั้นในอนาคตถ้าไม่มีเครื่องมือดังกล่าวและมีพรรคการเมืองทั้งฝ่ายรัฐและฝ่ายค้านอยู่ในสภาภายใต้กติกาของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน การบริหารประเทศจะเป็นอย่างไร จะเป็นไปตามหัวข้อเรื่องในรูปใด จะเป็นเครื่องหมายคำถามใหญ่ในความรู้สึกของประชาชนที่รักชาติจะต้องคำนึงถึง
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี