ดูเหมือนการเลือกตั้งท้องถิ่นกำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่นานจากนี้แล้ว ทั้งกฎหมายที่เตรียมพร้อมแล้ว หรือท่าทีของภาครัฐ รวมถึงข้อกฎหมายที่ยังระบุให้อำนาจ คสช.เป็นคนจัดการได้ แม้จะเหลือเวลาอีกไม่มากก่อนหมดวาระ ตลอดจนถึงพรรคการเมืองต่างๆ ที่บางพรรคการเมืองประกาศสู้ศึกเลือกตั้งท้องถิ่นแล้ว จากความคาดหวังจากฝ่ายต่างๆ ที่น่าจะเลือกตั้งท้องถิ่นได้ภายในเดือนกรกฎาคม ถึงสิงหาคม ปี 2562 นี้ หรือบางกระแสข่าวที่ระบุแล้วว่าเป็นวันที่ 18 สิงหาคม แต่ด้วยข้อกฎหมายที่เปลี่ยนไป ทำให้การได้มาซึ่งผู้แทนการเมืองท้องถิ่นและฝ่ายบริหารท้องถิ่น ตลอดจนบทบาทอำนาจหน้าที่ จะทำให้การเมืองท้องถิ่นหลังจากนี้ เปลี่ยนหน้าไปจากเดิม แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นการเดินหน้าหรือถอยหลังกันแน่?
ภายหลังจากที่ราชกิจจานุเบกษาประกาศพ.ร.บ.ท้องถิ่นทั้งสิ้น 6 ฉบับ ทำให้เกิดการคาดการณ์เวลาในการเลือกตั้งท้องถิ่น
ซึ่งพ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 ได้กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการเลือกตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งหมดไว้ โดยตาม มาตรา 142 บัญญัติไว้ว่า ในการเลือกตั้งครั้งแรกภายหลังจากที่พ.ร.บ.นี้ใช้บังคับ เมื่อคสช.เห็นสมควรให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใด ให้แจ้งให้คณะกรรมการการเลือกตั้งทราบ และให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นได้
ดังนั้น ก่อนที่คสช.จะหมดวาระ ซึ่งคงอีกไม่นานนี้ น่าจะมีการวางแผนแล้วว่า จะมีการประกาศวิธีการเลือกตั้งท้องถิ่นเมื่อไหร่ หลังจากนั้นจึงจะเป็นการสตาร์ทกำหนดเวลา ว่าอีกกี่วันจะเป็นการเลือกตั้งท้องถิ่น ซึ่งอาจจะเป็นช่วงคาบเกี่ยวที่จะมีรัฐบาลใหม่หรือไม่ก็ได้ โดยเมื่อ กกต. ทราบแล้วว่าจะต้องมีการจัดการเลือกตั้งท้องถิ่น กกต. จะต้องกำหนดวันเลือกตั้ง
ขององค์กรปกครองท้องถิ่น ซึ่งมีข้อเพิ่มเติมว่าตาม มาตรา 11 บัญญัติไว้ว่า ให้จัดการเลือกตั้งภายใน 45 วัน นับแต่วันที่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นดำรงตำแหน่งครบวาระ หรือภายใน 60 วัน นับแต่วันที่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นพ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุอื่นใดนอกจากครบวาระ
ซึ่งในกรณีนี้หลังจากการระงับการเลือกตั้งของท้องถิ่นไปโดย คำสั่งคสช. จึงถือได้ว่าสมาชิกและผู้บริหารท้องถิ่นทั้งหมด เป็นกรณีที่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นพ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุอื่นใดนอกจากครบวาระ ดังนั้น เมื่อ คสช. ประกาศว่าจะให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่น สมาชิกท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นที่ดำรงตำแหน่งอยู่ โดยอาศัยอำนาจตามคำสั่งหรือประกาศของ คสช. ก็เป็นอันสิ้นสุดลง และต้องจัดการเลือกตั้งภายใน 60 วัน นับแต่วันที่คสช.ประกาศ ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้
สำหรับการเลือกตั้งท้องถิ่นจะต้องมีการแยกสภาวะสถานการณ์การแข่งขันใน กทม. และต่างจังหวัดออกจากกัน โดยพื้นที่ กทม. ซึ่งเป็นพื้นที่ของประชาธิปัตย์และเพื่อไทยก็มีแนวโน้มที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งบางพรรคคาดหวังว่า ผลการเลือกตั้งระดับชาติที่มีฐานเสียงที่เปลี่ยนไปอาจส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงต่อการเมืองท้องถิ่นด้วย? โดยเฉพาะการเข้ามาของพรรคพลังประชารัฐและพรรคอนาคตใหม่ที่มีรูปแบบที่น่าสนใจ แต่ก็มีความแตกต่างกัน ที่คาดว่าน่าจะเข้ามาช่วงชิงส่วนแบ่งการเมืองท้องถิ่นใน กทม. จากเจ้าของพื้นที่เดิมทั้งสองพรรค แต่ กทม. ถือเป็นพื้นที่ปราบเซียน ที่จะเอาหลักการของผู้ชนะในสนามหนึ่งมาคาดเดาผู้ชนะในอีกสนามหนึ่งได้ยาก
ยกตัวอย่างจากการแข่งขันชิงผู้ว่าฯ กทม. เมื่อปี 2547 ขณะนั้นพรรคไทยรักไทยมี สส. ในกทม. 28 คน ในขณะที่ประชาธิปัตย์มีเพียง 9 คน หลายฝ่ายก็คาดหวังว่านางปวีณา หงสกุล ที่แม้จะไม่ได้สังกัดพรรคไทยรักไทยโดยตรง แต่ทุกคนก็เชื่อว่ามีฐานเสียงของพรรคไทยรักไทยคอยสนับสนุนอยู่ จึงมีการคาดการณ์ว่านางปวีณาน่าจะเป็นผู้ชนะในที่สุดด้วยกระแสความแรงของนายทักษิณและพรรคไทยรักไทยตลอดจนผลโพลล์ต่างๆ ในขณะนั้น แต่สุดท้ายคน กทม. กลับเลือกเอานายอภิรักษ์ โกษะโยธิน จากพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งขณะนั้นฐานเสียงพรรคประชาธิปัตย์ถือว่าเหลือน้อยมากใน กทม. จนส่งผลต่อการย้ายสังกัดของสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (สก.) ในเวลาต่อมา ทำให้การเมืองท้องถิ่นตกไปอยู่กับประชาธิปัตย์เป็นเวลา 12 ปี หลังจากนั้นก่อนจะถูก คสช. ปลดผู้ว่าฯกทม.
ครั้งนี้จึงน่าจะเป็นความท้าทายที่คาดเดาได้ยาก แต่น่าจะเป็นการแข่งขันระดับสูสีกันของ 4 พรรค ในกทม. อย่างแน่นอน นั่นคือ ประชาธิปัตย์ เพื่อไทย อนาคตใหม่ และพลังประชารัฐ โดยทิศทางแนวโน้มคน กทม. น่าจะเลือกพรรคมากกว่าบุคคล หากแต่เลือกพรรคใดเพราะเหตุผลใดคงไม่อาจเอาการตัดสินใจเลือกตั้ง สส. ที่ผ่านมาเป็นตัววัดได้ ในขณะที่การเลือกตั้ง สก. โดยที่ผ่านมา พื้นฐานเป็นการที่ประชาชนเลือกที่ตัวผู้สมัคร ซึ่งผู้สมัครก็เป็นผู้เลือกพรรค ดังนั้นเมื่อผู้สมัครย้ายพรรค คะแนนก็มักจะตามไปด้วย โดยการเลือกตั้งใหญ่ที่ผ่านมาพบว่า อดีต สก. พรรคประชาธิปัตย์ ได้ลาออกและย้ายเข้าสังกัดพลังประชารัฐเป็นจำนวนมาก แต่เนื่องจากมีการเว้นว่างการเลือกตั้ง สก. ไปเป็นเวลาหลายปี ประกอบกับที่ครั้งนี้ไม่มีสภาเขตกรุงเทพมหานคร (สข.) แล้ว การเลือกตั้ง สก. จึงน่าจะมีความสำคัญอย่างมากและเชื่อว่าจะมีการแข่งขันสูงมากกว่าทุกครั้ง ซึ่งแชมป์เก่าอย่างประชาธิปัตย์และเพื่อไทยคงไม่น่าปล่อยโอกาสสำคัญนี้ให้หลุดมือไปกับพรรคคู่แข่งรายใด โดยอีกหนึ่งปัจจัยที่น่าจะส่งผลไม่น้อยต่อการเลือกตั้งก็คือวันเลือกตั้ง
ซึ่งตามกระแสข่าวก็มีการรายงานว่า ทั้งการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. และ สก. อาจจะจัดในวันเดียวกัน?
ขณะที่การเลือกตั้งท้องถิ่นในพื้นที่ต่างจังหวัด ซึ่งที่ผ่านมา พบรูปแบบการแข่งขันที่หลากหลาย มีความผสมผสานระหว่างกลุ่มท้องถิ่นการเมืองที่สังกัดและไม่สังกัดพรรค โดยที่ผ่านมาแบรนด์การเมืองระดับชาติจะมีผลอย่างมากเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ ภาคเหนือ และภาคอีสานบางส่วนเท่านั้น พื้นที่ที่เหลือและภาคกลางโดยส่วนใหญ่กลุ่มการเมืองท้องถิ่นยังมีความเข้มแข็ง แต่ผลจากการเลือกตั้ง สส. ครั้งล่าสุด ประกอบกับการเว้นว่างเลือกตั้งท้องถิ่นไปนาน หลายคนจึงคาดว่าระบบพรรคการเมืองโดยพรรคการเมืองขนาดใหญ่น่าจะเข้ามามีอิทธิพลต่อการเลือกตั้งท้องถิ่นของประชาชนไม่น้อย ขณะเดียวกันการผูกขาดระหว่างพรรคใหญ่กับภูมิภาคก็อาจเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน ในครั้งนี้เราอาจเห็นการปักธงการเลือกตั้งท้องถิ่นของพรรคอื่น ที่นอกเหนือจากประชาธิปัตย์ในภาคใต้ และเพื่อไทยในภาคเหนือ ในขณะที่อาจจะเกิดการแข่งขันหรือการรวมกลุ่มรูปแบบใหม่ นั่นคือการรวมกลุ่มแบบผสมผสานหลายพรรค เพื่อช่วงชิงหรือเพื่อโค่นล้มฐานเสียงผูกขาดท้องถิ่นของกลุ่มการเมืองท้องถิ่น
นั่นคือการเอาการเมืองระดับชาติมาทลายกลุ่มการเมืองท้องถิ่น ดังตัวอย่างที่ปรากฏข่าวในพื้นที่แข่งขันท้องถิ่นในจังหวัดชลบุรี ที่กำลังจะมีการรวมตัวของหลายพรรคเพื่อโค่นล้มอิทธิพลท้องถิ่น ซึ่งเป็นการกระทำที่สวนทางกับการเลือกตั้ง
ระดับชาติที่การเมืองท้องถิ่นเป็นส่วนหนึ่งของพรรคการเมือง ซึ่งน่ากลัวว่าหากรูปแบบนี้สำเร็จก็อาจจะพบทั้งข้อดีและข้อเสียที่อาจเกิดขึ้น แม้อย่างน้อยจะทลายการผูกขาดในกลุ่มอิทธิพลท้องถิ่นได้ แต่ก็เป็นการเริ่มต้นของการร่วมจัดสรรผลประโยชน์ระหว่างพรรคการเมืองในท้องถิ่นซึ่งไม่รู้ว่าจะเป็นคุณหรือเป็นโทษต่อระบบในอนาคตในภายภาคหน้า และก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของการกระจายอำนาจหรือไม่?
ซึ่งสิ่งที่น่ากังวลสำหรับการเลือกตั้งท้องถิ่นในครั้งนี้ นอกจากเรื่องรูปแบบการแข่งขัน ที่เริ่มมีทิศทางแปลกๆ โดยเฉพาะการเข้ามาของการเมืองระดับชาติที่ลงมาแข่งเต็มตัว ตลอดจนรูปแบบการแข่งขันแบบผสมผสานร่วมประโยชน์แบบเปิดเผย ที่อาจทำให้เป้าหมายของการกระจายอำนาจมีทิศทางที่เปลี่ยนไปหรือไม่? นอกจากนี้ยังมีเรื่องของเนื้อหาภายใต้ พ.ร.บ. ทั้ง 6 ฉบับ ที่อาจทำให้บทบาทอำนาจหน้าที่ของการเมืองท้องถิ่นเปลี่ยนไปจากเดิม อาทิ การลดอำนาจท้องถิ่น แล้วไปเพิ่มอำนาจสู่ส่วนภูมิภาคมากขึ้น อย่างการที่ผู้ว่าสามารถยับยั้งการปฏิบัติงานของท้องถิ่นได้
หากมองว่าการปฏิบัติหน้าที่ของท้องถิ่นจะนำมาซึ่งความเสียหาย อีกเรื่องคือการดำรงตำแหน่งคราวละ 4 ปี ซึ่งในกฎหมายใหม่กำหนดว่าจะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกิน 2 วาระไม่ได้ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจว่าต่อไปจะช่วยลดการผูกขาดในท้องถิ่นได้หรือไม่? หรือจะกลายเป็นการลดอำนาจหน้าที่ของท้องถิ่นลงไป? นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีเรื่องของการเพิ่มโอกาสให้กับข้าราชการโดยการกำหนดให้นายกเทศมนตรี นายก อบจ. และผู้ว่าฯกทม. ที่สามารถดำรงตำแหน่งควบคู่ในส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจได้ หากเป็นไปเพื่อนโยบายรัฐหรือประโยชน์ในการบริหารราชการแผ่นดิน ในส่วนนี้จะก่อให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่? สุดท้ายคือเรื่องของการเข้มงวดเรื่องคุณสมบัติของผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง
ผู้บริหารท้องถิ่นที่มากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งสุดท้ายสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะส่งผลให้การเมืองท้องถิ่นเปลี่ยนหน้าไปจากเดิมมากน้อยเท่าไหร่ หลังจากนี้เราคงต้องรอดูกันต่อไป
“…เรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น ไม่ต้องคาดคิดเหลวไหล…”
โกวเล้ง จากเล็กเซี่ยวหงส์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี