รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ให้ความสำคัญต่อความเดือดร้อนของชาวสวนปาล์มอย่างมาก จึงได้มอบหมายให้พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้
เรื่องของปาล์มนั้นไม่ใช่วิกฤติเรื่องน้ำมันปาล์ม หรือวิกฤติในการปลูกปาล์ม แต่เป็นวิกฤติของชาวสวนปาล์มทุกคนในทุกพื้นที่ทั่วภาคใต้ เพราะชาวสวนปาล์มกำลังล้มละลายถึงขนาดฉิบหายวายวอดทั้งส่วนตัวและครอบครัวด้วย
เพราะราคาปาล์มตกต่ำเป็นประวัติการณ์ เหลือกิโลกรัมละบาทเศษเท่านั้น เป็นวิกฤติราคาที่ตกต่ำที่สุดนับแต่คนไทยรู้จักปาล์ม และที่สำคัญคือขายไม่ออก เพราะไม่มีใครรับซื้อ แม้ว่าพรรคการเมืองต่างๆ จะโฆษณาหาเสียงว่าจะเสกเป่าให้ราคาน้ำมันปาล์มสูงขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 5-6 บาท ถึงวันนี้ก็ต้องพากันเงียบกริบ
การแก้ปัญหาเรื่องปาล์มในวันนี้ไม่ใช่ปัญหาเฉพาะหน้าอีกแล้ว และไม่ใช่ปัญหาเฉพาะเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องการปลูก การแสวงหาพันธุ์ การสกัด หรือการนำปาล์มไปใช้เรื่องใดเรื่องหนึ่งอีกต่อไป แต่เป็นปัญหาในเชิงยุทธศาสตร์ที่ต้องแก้ไขปัญหาเชิงยุทธศาสตร์ให้สำเร็จ
ที่ว่าเป็นปัญหายุทธศาสตร์คือ กรณีเรื่องปัญหาปาล์มในปัจจุบันนี้เป็นปัญหาว่าประเทศไทยจะให้มีการปลูกปาล์มต่อไปหรือไม่ ถ้าจะให้ปลูกต่อไปจะให้ปลูกในจำนวนเท่าใดจึงจะทำให้ชาวสวนปาล์มยืนอยู่ได้ และปาล์มที่ปลูกได้ก็สามารถใช้สอยได้อย่างเต็มที่
เพื่อประกอบการพิจารณาตัดสินใจในเชิงยุทธศาสตร์นี้ จำเป็นที่จะต้องพรรณนาถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้
ประการแรก จำเดิมมานั้นประเทศไทยโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ชาวบ้านปลูกสวนยางเป็นพื้น เสริมด้วยอาชีพประมง ต่อมาก็มีรายได้จากการท่องเที่ยวที่มีบทบาทเชิงรายได้มากขึ้นโดยลำดับ
ต่อมาเมื่อผู้บริหารในรัฐบาลบางยุคบางสมัยหลงผิดคิดเชื่อตามกโลบายลวงโลกของประเทศมหาอำนาจว่าน้ำมันมะพร้าวและน้ำมันหมูนั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพและชีวิตเพราะเป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็ง โรคความดันโลหิตสูง โรคเส้นเลือดตีบแตกตัน โรคไต โรคเบาหวาน แล้วชักชวนกันให้หลงเชื่อว่าต้องกินน้ำมันพืชแทน ที่สำคัญคือน้ำมันถั่วและน้ำมันปาล์ม
หลังจากนั้นสวนมะพร้าวและการใช้น้ำมันหมูก็หมดสิ้นไปจากประเทศไทยเพราะไม่มีใครกล้าใช้ จึงหันมาบริโภคน้ำมันถั่วและน้ำมันปาล์ม ซึ่งในอดีตต้องนำเข้าจากต่างประเทศคือมาเลเซียและอินโดนีเซีย และทำให้ราคาปาล์มสูงมาก ผู้คนจึงแห่กันปลูกปาล์ม
หนักเข้าก็โค่นสวนมะพร้าว โค่นสวนยาง เพื่อปลูกปาล์มแทนที่ ต่อมาเมื่อมีการนำน้ำมันปาล์มไปใช้เป็นเชื้อเพลิงได้ราคาปาล์มก็ดีขึ้น ผู้คนก็ปลูกปาล์มเพิ่มมากขึ้นเพราะปริมาณที่ปลูกอยู่ไม่เพียงพอ เป็นเหตุให้หักร้างถางพง บุกรุกที่หลวง บุกรุกป่าสงวนและอุทยานแห่งชาติ เพื่อปลูกปาล์มกันอย่างไม่บันยะบันยัง
เมื่อปลูกมากเข้าเกินความต้องการ ราคาปาล์มก็ชะลอตัวลงและถอยลงโดยลำดับ
ประการที่สอง ต่อมามีการวิจัยระดับโลกพบว่าการบริโภคน้ำมันถั่วและน้ำมันปาล์มนั่นแหละเป็นเหตุให้เกิดโรคมะเร็ง โรคเส้นเลือดตีบแตกตัน โรคความดันโลหิตสูง โรคไต โรคเบาหวาน และโรคหัวใจ และระบุด้วยว่าน้ำมันหมูและน้ำมันมะพร้าวเป็นประโยชน์แก่สุขภาพที่ควรต้องนำมาใช้แทนน้ำมันปาล์มและน้ำมันถั่ว
คนทั้งหลายก็ลดหรืองดหรือเลิกการบริโภคน้ำมันถั่วและน้ำมันปาล์ม จึงยิ่งทำให้ราคาปาล์มตกต่ำลง
ประการที่สาม ในขณะที่การบริโภคน้ำมันปาล์มลดลง ก็มีการวิจัยพบอีกว่าการนำน้ำมันปาล์มไปใช้เป็นเชื้อเพลิงนั้นได้ก่อให้เกิดเป็นมลพิษที่ร้ายแรงมาก เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งและอีกสารพัดโรคที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจ จึงทำให้หลายประเทศประกาศห้ามหรือยกเลิกการใช้น้ำมันปาล์มเป็นเชื้อเพลิง และกำลังขยายตัวไปทั่วโลก
แม้ประเทศไทย แม้ขณะนี้การใช้น้ำมันปาล์มบริโภคลดลงมากแล้ว แต่ก็ยังพอมีทางออกในการนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิง และในไม่ช้าคงได้รับผลกระทบและคงต้องดำเนินการอย่างเดียวกับชาวโลก
และเมื่อนั้นกาลอวสานของน้ำมันปาล์ม ของต้นปาล์ม ของสวนปาล์ม และชาวไร่ปาล์มก็คงจะมาถึงอย่างสมบูรณ์
เหล่านี้คือสถานการณ์เชิงยุทธศาสตร์ที่ผู้เกี่ยวข้องทุกคนทุกฝ่ายจะต้องทำความรู้ความเข้าใจให้แจ่มแจ้ง มิฉะนั้นนอกจากจะแก้ไขไม่สำเร็จแล้ว ยังจะต้องใช้จ่ายเงินเข้าไปพยุงหรือค้ำจุนอีกมากมายโดยไม่มีผลอันใด และที่สำคัญจะทำให้ชาวไร่ปาล์มจมปลักและเสียเวลาในการสร้างอาชีพใหม่ จนกระทั่งอาจฉิบหายวายวอดไปก่อน
ดังนั้นในทางยุทธศาสตร์ประเทศไทยจึงต้องกำหนดยุทธศาสตร์ในการลดหรือเลิกปลูกปาล์มลงให้เหลือจำนวนที่จำเป็นให้น้อยที่สุดเท่านั้น
จะต้องกำหนดในเชิงยุทธศาสตร์เคลื่อนย้ายประชากรชาวสวนปาล์มทั่วประเทศออกจากกิจการสวนปาล์มเข้าสู่วิถีอาชีพใหม่ ซึ่งสำหรับภาคใต้ก็คงต้องฟื้นสวนยางและสวนผลไม้ต่างๆ รวมทั้งข้าวพันธุ์ท้องถิ่นที่มีราคาสูงและเป็นที่ต้องการของตลาด
รวมทั้งการกำหนดยุทธศาสตร์ในทางประมงเพื่อทำให้ท้องทะเลสองฝั่งของภาคใต้เป็นแหล่งผลิตอาหารทะเลเลี้ยงชาวโลก ซึ่งต้องใช้ภูมิปัญญาวิชาการขั้นสูง แต่คนไทยก็มีความชำนาญ เหลือเพียงการสนับสนุนและแนวทางที่ถูกต้องจากรัฐเท่านั้น
ที่สำคัญคือต้องขยายและพัฒนาทรัพยากรท่องเที่ยวทั่วภาคใต้อย่างรวดเร็วที่สุด ต้องสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานให้ทั่วถึงและต้องทำให้สองฝั่งทะเลภาคใต้เป็นด้ามขวานทองที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวและรายได้จากทั่วโลกเข้าประเทศไทย
เพราะประเทศไทยไม่ใช่ EEC ที่มีพื้นที่เล็กๆ อันเป็นพื้นที่อับแต่อย่างใด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี