ตามรัฐธรรมนูญไทยฉบับล่าสุดนั้น ผู้ที่จะมาเป็นสมาชิกวุฒิสภามีที่มาอยู่ 3 แนวทางคือ
1. มาจากกลุ่มสาขาอาชีพที่สมัคร แล้วลงคะแนนเลือกกันด้วยตัวผู้สมัครเองให้เหลือ 200 คน ก่อนจะนำมาเสนอให้ คสช. เลือกกลุ่มสุดท้ายออกมา 50 คน
2. มาโดยตำแหน่งข้าราชการประจำ 6 ตำแหน่ง : ผู้บัญชาการทหารบก เรือ อากาศ ปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการกองทัพไทย และผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
3. มาโดยการตัดสินใจของ คสช. ผ่านการเสนอชื่อของคณะกรรมการสรรหา จำนวน 194 คน
การณ์ดังกล่าวก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่า สมาชิกวุฒิสภา 250 คน ล้วนเป็นผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งโดย คสช. โดยในจำนวนนี้ 6 ตำแหน่ง จากข้าราชการประจำ แบบมาโดยอัตโนมัติ
ทำให้การได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภานั้น ไม่สอดคล้องกับอุดมการณ์ประชาธิปไตย คือไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง หรือยึดโยงกับประชาชนพลเมืองแต่อย่างใด ซึ่งก็เป็นที่เข้าใจได้ เพราะกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับนี้ซึ่งถือว่าเป็นผลงานของ คสช. ที่ยัดเยียดให้กับประชาชนพลเมืองลงคะแนนเสียงเป็นประชามติ
ซึ่งในขณะนั้น ประชาชนพลเมืองที่หัวอ่อน เชื่อฟังก็ให้ความเห็นชอบกันไป ในขณะที่ชาวไทยที่ไม่ชอบใจรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ก็ทนๆ ลงคะแนนยอมรับไปก่อน เพราะเห็นว่า ถ้ารัฐธรรมนูญผ่านประชามติแล้ว อย่างน้อยสังคมไทยจะได้กลับไปสู่สังคมประชาธิปไตยกันเสียที แม้จะครึ่งใบก็ยังดีกว่าที่จะต้องทนจำยอมอยู่กับรัฐบาลทหารอย่างที่อยู่กันมาหลายปี แล้วไม่เห็นว่าจะมีความหวังอะไรขึ้นมา อย่างน้อยก็จะมีการเปลี่ยนแปลงบ้าง
เมื่อยอมให้ผ่านมา ก็เลยส่งผลให้สมาชิกวุฒิสภาไทยมีที่มาจากเส้นทางที่มิใช่ประชาธิปไตยดังกล่าว นอกจากนั้นรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ก็ได้เจาะจงคุณสมบัติพิเศษอื่นๆ ที่ สมาชิกวุฒิสภาควรจะมี แต่ก็ขัดกับกระบวนการที่มาอย่างยิ่ง อาทิ
- ต้องมีความเป็นกลางทางการเมือง
- ต้องไม่ฝักใฝ่ทางการเมือง
- ต้องมีความโปร่งใส
- ต้องมีความสุจริตและเที่ยงธรรม เป็นต้น
คุณสมบัติเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญ แต่จะเป็นไปได้หรือไม่ในทางปฏิบัติ เพราะผู้ที่จะมาเป็นสมาชิกวุฒิสภานั้นจะต้องเป็นคนดีจริงในระดับขั้นคนวิเศษ หรือผู้วิเศษก็ว่าได้ คือตั้งแต่เสนอชื่อตนเอง หรือชื่อถูกเสนอมานั้น ก็ต้องเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีการวิ่งเต้นใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีการฮั้วคะแนน ไม่มีการเล่นพรรคเล่นพวกต่อรองกัน และต่างมุ่งมั่นจะมาทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ ด้วยหลักธรรมาภิบาล เป็นที่พึ่งและเป็นความหวังของปวงชนชาวไทย
และถึงจะมีคุณสมบัติดังกล่าวครบถ้วน แต่เมื่อสุดท้ายแล้ว จะต้องถูกเลือกด้วย คสช. ก็ย่อมเกิดเป็นหนี้บุญคุณติดค้างกันอยู่เป็นธรรมดาของธรรมชาติมนุษย์ อีกทั้ง คสช. ได้ตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาเพื่อสนับสนุนตนในชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ขึ้นมา แล้วบรรดาสมาชิกวุฒิสภาที่ คสช. แต่งตั้งขึ้นมากับมือ จะสามารถดำรงความเป็นกลาง ความไม่เอนเอียง ความโปร่งใสในการปฏิบัติหน้าที่ ได้จริงๆ หรือ?
สมาชิกวุฒิสภาในมุมมองของคนทั่วไปก็เลยกลายเป็นเด็กในอาณัติของ คสช. ไปโดยปริยาย (ซึ่งก็คือ ฝ่ายกองทัพนั่นเอง) นอกจากนั้น บรรดาผู้นำกองทัพทั้งหมด บวกผู้นำกองทัพตำรวจ ก็ยังมาร่วมดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกวุฒิสภาเข้าไปอีก ดังนั้น ในการประชุมวุฒิสภา ก็ย่อมหลีกเลี่ยงความเกรงอกเกรงใจ การเกรงบารมี ได้ยาก ความเป็นตัวของตัวเองของสมาชิกวุฒิสภาก็คงจะมีน้อย ความเห็นต่างใดๆ คงแสดงออกออกมาได้อย่างยากลำบาก
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่แปลกที่จะมีสถานะแค่เบี้ย เป็นแค่ลูกมือ ก็ต้องว่ากันตามนั้น โอกาสที่จะแสดงตนสร้างตนเป็นนักการประชาธิปไตยก็คงไม่มี มันก็สะท้อนไปถึงการขาดศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ และเกียรติภูมิที่พึงรักษาเพื่อตนเองไปโดยปริยาย
ดังนั้นในวันนี้ บรรดาท่านๆ ที่ได้รับการเสนอชื่อก็คงต้องไตร่ตรองกันให้ดีๆ ว่าจะยอมอดทน แลกศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของตน ไปกับตำแหน่งวุฒิสมาชิกที่ คสช. ยื่นให้ เพื่อที่จะได้ออกโทรทัศน์ ได้ถ่ายรูปภาพ ได้ลงประวัติไว้ในหนังสืองานศพ กันหรือไม่ ซึ่งหากอยากได้ตำแหน่งก็ต้องรู้อยู่แก่ใจว่าต้องสูญเสียอะไรไป
ในทางคู่ขนานกัน ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ใครกันหนอที่ช่างคิด ทำการยกร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายลูก ที่ขัดกันในทีเช่น การมีสมาชิกวุฒิสภา เช่นนี้
เพราะแง่หนึ่งก็กำหนดว่า สมาชิกวุฒิสภาต้องเป็นมนุษย์วิเศษ มีความเป็นกลาง แต่ในอีกแง่หนึ่งดันให้อำนาจ คสช. เป็นผู้ให้กำเนิดสมาชิกวุฒิสภา สมาชิกวุฒิสภาจึงมีสถานะเป็นลูกของ คสช. (ที่มีพรรคพลังประชารัฐหนุนหลัง) แล้วจะไปทำตนเป็นลูกอกตัญญูได้อย่างไร แล้วจะบริสุทธิ์ เที่ยงธรรม โปร่งใส ไม่เอนเอียง เป็นกลาง กันยังไง
ดูมุมไหน ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะสมาชิกวุฒิสภามิได้มาจากสนามการเลือกตั้งของประชาธิปไตย ไม่ได้มาด้วยอุดมการณ์ประชาธิปไตย ไม่ได้มาด้วยอุดมคติของการเสนอตัวรับใช้ชาติ ด้วยน้ำพักน้ำแรง ด้วยลำแข้งของตนเอง อย่างที่ควรจะเป็นไปตามครรลองประชาธิปไตย
ผลแห่งสมาชิกวุฒิสภาที่ออกมาเป็นกันอย่างนี้ นั่นก็เพราะผู้ร่วมคิดและผู้ร่วมยกร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญนั้นไม่ได้คิดเรื่องประชาธิปไตย นั่นก็ทำให้ไม่ต้องแปลกใจว่าไม่ใช่เพียงสมาชิกวุฒิสภาหรอก ที่ขาดคุณสมบัติทางการเป็นประชาธิปไตย โดยองค์ประกอบอื่นๆ ในการเมืองไทยหลังจากนี้ ก็เป็นเพียงการเมืองในรูปแบบอำนาจนิยมเท่านั้นเอง
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี