วันที่ 15 พฤษภาคมนี้ คงได้คำตอบกันละว่า หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่จะเป็นใคร ระหว่าง นายกรณ์ จาติกวณิช, นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์, นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค
ประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่มีระบบระเบียบ มีขั้นมีตอน ด้วยความที่พรรคเป็น “สถาบัน” ไม่ได้เป็นสมบัติของใครคนใดคนหนึ่ง และไม่มีใครที่จะยอมให้ใครคนใดคนหนึ่งมาทำตัวเป็นเจ้าของพรรคแต่เพียงผู้เดียว ขั้นตอนของพรรคนี้ จึงผิดแผกแตกต่างไปจากการ “มีหัวหน้า” แบบพรรคการเมืองอื่น
นี่คือสิ่งที่น่าชื่นชม
1) ทำไมพรรคประชาธิปัตย์ต้องหาหัวหน้าใหม่
คำตอบที่ง่ายที่สุดคือ เป็นผลจากการประกาศลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หลังรู้ผลการเลือกตั้ง ที่พ่ายแพ้อย่างยับเยิน ได้ สส.ต่ำกว่า 100 คน ซึ่งนายอภิสิทธิ์เคยประกาศไว้ก่อนหน้านั้นว่า หากต่ำกว่าร้อยจะลาออก ซึ่งเขาก็แซงลาออกทันที ในคืนวันที่ 24 มีนาคม 2562 เป็นการ “รักษาสัจจะ” ซึ่งถือว่าเป็นมาตรฐานขั้นตอนของ “นักการเมืองที่ดี”
2) ในสภาพ “ภูมิทัศน์ทางการเมือง” ที่เปลี่ยนไปนี้ ประชาธิปัตย์ควรเลือกอย่างไร
การเลือกหัวหน้าพรรคคราวนี้ ต่างจากการเลือกในรอบที่ผ่านมา ที่เปิดให้สมาชิกทั่วประเทศลงคะแนนเลือกตั้งหัวหน้าพรรคโดยตรง เพื่อแสดงให้เห็นมาตรฐานของพรรคประชาธิปัตย์ ในท่ามกลางกระแสการอวดอ้างของพรรคต่างๆ ว่าพรรคตนเป็นประชาธิปไตย บ้างบอกว่าไม่มีใครเป็นเจ้าของ ประชาธิปัตย์ไม่พูดมาก จัดการเลือกหัวหน้าพรรคโดยตรงจากสมาชิก ให้สมาชิกมี 1 คะแนนต่อหนึ่งคน เทียบเท่าอดีตนายกฯ อดีตหัวหน้าพรรค อดีตกรรมการบริหารพรรค อดีตรัฐมนตรี อดีต สส. ฯลฯ เพื่อให้ “การกระทำ” บอกความเป็นประชาธิปไตยของพรรคให้คนทั่วไปได้เห็น
แต่ต้องยอมรับว่า การเลือกตั้งในครั้งนั้น มี “บาดแผล” คือ ความขัดแย้งที่ชัดเจนและเป็นจริง แม้จะพยายามสื่อสารว่าไม่มี พยายามจะดีต่อกัน แต่มันคือการ “กลบเกลื่อนความรู้สึกที่แท้จริง” ของคู่ขัดแย้ง เพื่อรักษา “มารยาท” และ “บรรยากาศ” ที่พรรคต้องออกไปแข่งขันกับคู่แข่งขันทางการเมือง เรียกว่า “พักรบศึกใน-ไปรบศึกนอก”
ครั้นนายอภิสิทธิ์เป็น “แม่ทัพ” ที่พ่ายแพ้ เราก็จะเห็นการ “ขย่ม” หรือ “คนล้มเราข้าม” ให้เห็นกันจะจะ กระจ่างชัด เป็นเครื่องยืนยันว่า “ความกินแหนงแคลงใจ” มีอยู่จริง ตามประสาปุถุชนทั่วไป ไม่ได้สวยงามอย่างที่พยายามจะ “วาด” ให้คนอื่นมอง
ดังนั้น การชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรครอบนี้ เราจึงได้เห็น “ความระมัดระวัง” ที่มากขึ้น คือ พยายามทำให้ทุกอย่างเป็น “กระบวนการภายในพรรค” มากกว่าออกมาสร้างกระแสภายนอก
คงเพราะรอบนี้ ผู้มีสิทธิลงคะแนนเป็น “คนในล้วนๆ” เพราะระยะเวลาที่มีไม่เอื้อให้ใช้ระบบเดิมที่ซับซ้อนและยุ่งยาก
การเป็น “คนในล้วนๆ” นี่ นับเป็น “ดาบสองคม” หรือเป็น “เหรียญสองด้าน” ที่ต้องมองกันให้ออก
กล่าวคือ ประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่มีตัวตนและอุดมการณ์สูงมาก ชัดเจน ต่อเนื่อง และฝังแน่นอยู่ในสมาชิกทุกคน มากบ้างน้อยบ้าง ยืดหยุ่นบ้าง ถือเคร่งบ้าง ต่างๆ กันออกไป แต่ไม่มีใครไม่มี “อุดมการณ์แบบประชาธิปัตย์” อยู่ในตนเอง มิเช่นนั้นคงไม่เข้ามาอยู่พรรคนี้ ที่ระเบียบวิธีและการจะได้อยู่ได้เป็นอะไรสักอย่างมีขั้นมีตอน มี “เวลา” ที่ต้องรู้จัก “คอย” สู้ไปอยู่พรรคอื่นที่ซับซ้อนยุ่งยากน้อยกว่านี้ไม่ดีกว่าหรือ
ประชาธิปัตย์มีสภาพเหมือน “ผู้ดีเก่า” ที่ลูกหลานกลุ่มหนึ่งต้องยืดหยัดเกียรติภูมิของวงศ์ตระกูลที่บรรพบุรุษสั่งสม หล่อหลอม และสืบทอดกันมา อย่างทระนงและภาคภูมิในสิ่งนั้น กับกลุ่มหนึ่งที่รู้สึกว่า เราควรปรับตัวตามยุคสมัยบ้าง โดยไม่ทิ้ง “เลือดผู้ดี” ที่มีอยู่ในกาย ยังทระนงและภาคภูมิ แต่พร้อมจะเคลื่อนตัว แสดงออก ตามยุคตามสมัย เพื่อตอบรับ “ภูมิทัศน์ทางการเมือง” ที่เปลี่ยนแปลง
เพียงแต่การเลือกหัวหน้าพรรคในรอบที่ผ่านมา ฝ่ายที่อยาก “เปลี่ยนแปลง” นั้น “สุดติ่งกระดิ่งแมว” เกินไป จนคนประชาธิปัตย์หวั่นไหวว่า จะเปลี่ยนเกินและลืมรักษาเนื้อนาบุญแบบประชาธิปัตย์ให้ดำรงอยู่ เป็นเกียรติภูมิต่อเนื่อง โดยไม่ละอายต่อบรรพบุรุษ จึงเป็นการสู้กันระหว่าง “จิตวิญญาณประชาธิปัตย์” หรือ “พรรคแบบดาษดื่นที่มี” ในวงการเมืองไทย ผลสรุปชี้ชัดว่า คนประชาธิปัตย์ ขาด “จิตวิญญาณประชาธิปัตย์” ไม่ได้
แต่เมื่อผ่านการเลือกตั้งรอบนี้ ที่มีผลกระทบ “รุนแรง” ราวกับเกิด “สึนามิ” พัดพาเอา สส. เกรดเอ ร่วงจากบัลลังก์แบบน่าตกใจ เสียขวัญ สติกระเจิง
แถมยังถูกกดดันด้วยสภาพภูมิทัศน์ทางการเมืองปัจจุบันด้วยเงื่อนไขที่อาจทำให้การตัดสินใจเลือกหัวหน้าพรรค “เขว” ออกนอกทาง คือ จะร่วมหรือไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ ที่ชู “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็นนายกรัฐมนตรี
3) ต้องไม่งงนะ ว่ากำลังจะเลือกอะไร
โหวตเตอร์ภายในของพรรคประชาธิปัตย์ต้องไม่สับสน หวาดกลัว เอาบรรยากาศการเมืองที่เป็นผลจากความพ่ายแพ้ครั้งยิ่งใหญ่ มา “เขย่าขวัญ” ตัวเอง จนลืมไปว่า ตนเองกำลังจะเลือก “หัวหน้าพรรค” เพื่อเป็น “แม่ทัพ” นำประชาธิปัตย์เดินหน้าต่อในสมรภูมิการเมืองที่เปลี่ยนสภาพไปจากที่เคยเป็นอย่างสิ้นเชิง
4) อะไรบ้างที่เป็นองค์ประกอบของภูมิทัศน์ทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป
คนเก่าคนแก่เริ่มอ่อนล้ากับการเลือก สส.ประชาธิปัตย์ แบบตัวเลือกจำเจ บางจังหวัดผู้คนส่งสัญญาณแล้วส่งสัญญาณเล่า ว่าเปลี่ยนคนให้หน่อยได้ไหม ก็ไม่เคยตอบสนอง ที่ผ่านมาเขายังเลือก เลือกเพราะรัก เพราะศรัทธาในอุดมการณ์ จนกระทั่งมันมาถึงจุดที่รู้สึกว่า อยาก “ลองของใหม่” ดูบ้าง เพราะตัวแทนเดิมอยู่ในสภาพ “สส.ติดเตียง” คือไม่เคลื่อนตัวไปข้างหน้า ไม่นำพาพื้นที่ไปสู่ความเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง จดจ่ออยู่กับการทำหน้าที่ในสภา และใช้วิธีเดินเก็บคะแนนในเวลาเลือกตั้งตามเดิม จากการสะสมคะแนนผ่านงานศพ งานบวช งานแต่ง ในขณะที่ผู้คนเห็นโลกมากขึ้น ผ่านเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่ข่าวสารข้อมูลแพร่ถึงกันได้ไว และเริ่มเห็นว่าจังหวัดอื่น พื้นที่อื่น ได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ ทำไมพื้นที่เรา สส. ไม่นำอะไรมาให้บ้าง
อย่าไปอธิบายกับเขาเรื่อง ประชาธิปัตย์โดยคุณชวน หลีกภัย นี่แหละ ที่เป็นนักการเมืองที่ยึดหลัก “กระจาย” ในหลายรูปแบบ เพื่อความทั่วถึง-เท่าเทียม ทั่วประเทศ เพื่อจะบอกว่า ประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองของคนทั้งชาติ ไม่ใช่ของภาคใดภาคหนึ่งจังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง คุณชวนจึงกระจายอำนาจ กระจายโอกาส และกระจายความเจริญ
ในส่วนของการกระจายอำนาจ คือการให้กำเนิดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จนมี อบจ. อบต. กันในทุกวันนี้ มีงบประมาณให้ ให้อำนาจตัดสินใจในการพัฒนาพื้นที่ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องรอการตัดสินใจของส่วนกลาง
คนยังคิดง่ายๆ ว่าฉันมี สส. และคิดว่า สส. คือ “ท่อ” ที่จะดึงเอาทรัพยากรมาสู่พื้นที่ เห็นจังหวัดนั้นมีอย่างนั้น จังหวัดนี้มีอย่างนี้ มันอดไม่ได้ที่จะย้อนมาดูจังหวัดตัวเอง และเกิดคำถามว่า ฉันเลือกคนนี้ ฉันเลือกพรรคนี้ มาตั้งแต่สาวยันแก่ บ้านฉันอะไรเป็นรูปเป็นร่างบ้าง
5) ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา เกิด “ผู้เลือกหน้าใหม่” ซึ่งมีบิดาเป็นโทรทัศน์ และมารดาเป็นโทรศัพท์ คนเหล่านี้ไม่มีความผูกพันกับพรรคแบบหลงใหลในตำนาน คนกลุ่มนี้มองพรรคการเมืองเป็น “ตัวแทน” ของอะไรบางอย่าง หรือ “ผู้ให้บริการ” อะไรบางอย่าง เราจึงเห็นสภาพที่พรรคอนาคตใหม่เติบใหญ่แบบปัจจุบันทันด่วน ในบรรยากาศที่ “คนเก่าคนแก่” ถูกด้อยคุณค่า ถึงเวลาของ “รุ่นใหม่”ที่จะต้องนำพายุคสมัยสู่ความเปลี่ยนแปลง ที่จริงไม่ได้มีอะไรซับซ้อนเลย มันคือวงรอบของเจเนอเรชั่นแบบยุค 6 ตุลา 14 ตุลา นั่นแหละ ที่คนในพรรคประชาธิปัตย์ก็ผ่านมาอย่างโชกโชน เพียงแต่หลงลืมว่า พลังแห่งความพลุ่งพล่านที่ต้องการความเปลี่ยนแปลงของ “คนหนุ่มสาว” นั้น วู่วามและร้อนแรงปานใด อนาคตใหม่กับโซเชียลมีเดีย จึงกลายเป็นสึนามิทางการเมืองไทย ที่เป็น “สินค้าออนไลน์” ที่คนเบื่อของเก่ากับคนรุ่นใหม่ที่อยากมี “ตัวตน” ในสังคมที่ถูกควบคุม-ครอบงำโดยคนรุ่นเก่า กด “ซื้อ”
6) ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ประชาธิปัตย์ไม่ได้ “ปฏิรูปตัวเอง” เป็นสินค้าเดิมที่มีคุณภาพ แต่ลืมทำหีบห่อใหม่และลืมทำการตลาดและการโฆษณา ผู้บริโภครายใหม่ๆ จึงมองว่าเป็นสินค้า “ล้าหลัง” ให้ปู่ย่าตายาย คุณลุงคุณป้าใช้ไปแต่คนรุ่นใหม่มีสินค้าที่เป็น “ยุคสมัย” ของพวกเขา ให้สังเกตว่า ในเวลาที่เกิด “นิวเด็ม” มีกระแสตอบรับทั้งจากสื่อและผู้คนในเชิงบวกเพิ่มขึ้นแบบกระปรี้กระเปร่าในท่ามกลางความซึมเซากับหีบห่อเดิมๆ ของประชาธิปัตย์ให้เห็นอยู่ นั่นแปลว่าคนไม่ได้ไม่เชื่อในคุณภาพ แต่คนเบื่อท่าทีเดิมๆ หีบห่อเดิมๆ และการสื่อสารตัวเองแบบเดิมๆ
7) ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา เป็น 10 ปีของความขัดแย้งทางการเมืองรุนแรง โดยหนึ่งในคู่ขัดแย้งคือ พรรคประชาธิปัตย์ แน่นอน...เป็นความขัดแย้งเชิงตรวจสอบคนโกง คนที่ใช้อำนาจรัฐหาประโยชน์เข้าตัว แต่ประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคที่มีหลักการ มีระเบียบ มีคุณธรรม เมื่อมาเจอกับคนไร้หลักการ ไร้ระเบียบ ไร้คุณธรรม โต้กลับ
หว่านซื้อ ครอบงำสังคมหนักหน่วงขึ้น และทำให้ประชาธิปัตย์กลายเป็นอุปสรรคของความอยู่ดีกินดีที่ “ระบอบทักษิณ” หยิบยื่นให้ ป้ายสีให้ประชาธิปัตย์เป็น “เด็กของทหาร” เป็นพวก “ดีแต่พูด” เป็นอริของประชาชนคนเสื้อแดง คนพวกนั้น “คุมสื่อ” เล่นกับสื่อในทุกแพลตฟอร์ม เพื่อสร้าง “ภาพจำ” ให้คนเห็นประชาธิปัตย์เป็นพวก “นักการเมืองปากดี-ไม่มีผลงาน-ระรานคนที่อาสามาช่วยประชาชน-ลากกองทัพมาก้าวก่ายการเมือง” แล้วประชาธิปัตย์ไม่ “ล้างคราบสกปรก” เหล่านั้นให้ทันท่วงที ชะล่าใจ เชื่อในความดี ในหลักการที่ตนทำ จึงสะสมภาพจำที่ย้อนกลับมากร่อนกินตัวเอง จนทรุด!!
8) 10 ปี ในความรับรู้ของผู้เลือกหน้าใหม่ ประชาธิปัตย์จึงเป็นพรรคที่ไม่น่าพิสมัยอะไรเลย เป็นลิ่วล้อของเผด็จการทหาร ดีแต่พูด เล่นการเมืองอย่างเดียว ล้าหลัง ไม่ใช่ตัวแทนของเจเนอเรชั่นเขา “อนาคตใหม่” โดยธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งมีความคลับคล้ายคลับคลากับประชาธิปัตย์ และอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เอามากๆ แต่บู๊กว่า กร้าว ห้าว ชัดเจน ไม่กั๊ก ขบถ โดนใจวัยก้าวร้าว วัยท้าทายเป็นอย่างยิ่ง ประชาธิปัตย์จึงสูญเสียพื้นที่ส่วนนี้ในทางการเมืองไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่งไม่ได้บอกว่า ประชาธิปัตย์ต้องมาทำตัวแบบ “อนาคตใหม่” นะครับ เพียงแต่อยากจะบอกว่า ดูดีๆ เถอะ อนาคตใหม่มันคือซับเซ็ตอะไรบางอย่างในความเป็นประชาธิปัตย์ที่ไม่ได้แสดงออก เพราะรู้สึกว่ามัน “เกินเลยไปหน่อย” และลืมหาวิธีพอดีๆ ที่จะสื่อสารเชื่อมต่อกับคนรุ่นใหม่ ซึ่งเมื่อคนรุ่นใหม่มองไปในพรรคประชาธิปัตย์ จึงเจอแต่ลุงๆ ป้าๆ ในภาพมายาที่ถูกทำให้เห็นมาตลอด 10 ปี โดยเป็น “ลุงป้าปากดี”ที่พวกเขาไม่เคยจดจำ “ผลงาน” อะไรได้ เพราะฝ่ายตรงข้าม “คุมสื่อ”และประชาธิปัตย์ “ลืมสื่อ” มานานนับสิบๆ ปี
9) บวกกับ “โจทย์” ของการเลือกตั้งที่ผ่านมา ดันถูกกำหนดว่า คุณจะยกบ้านเมืองให้กับฝ่ายทักษิณ + ฝ่ายไม่เอาเจ้ากันใช่ไหม สถานการณ์จึงดันให้ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็นฮีโร่ ที่จะปกปักรักษา “ความสงบ” และสถาบันอันเป็นที่รักเอาไว้ได้ 1 คะแนน ของผู้เลือกที่เป็นฐานเดิมของประชาธิปัตย์จึงยอมถูกใช้เป็น “ค่าคุ้มครอง” เพราะมีภาพจำว่า ในยามมีม็อบ นปช. รัฐบาลประชาธิปัตย์ยังต้องไปซุกหัวอยู่ในค่ายทหารเลย โจทย์แบบนั้นไม่เปิดทางให้ประชาธิปัตย์ “สู้” ได้เลยสักประตูเดียว แม้อภิสิทธิ์จะแหลมคมพอที่จะส่งสัญญาณให้คนไทยรู้ว่า ถ้าขืนไปในเกมนั้นกันหมด สิ่งที่จะตามมาคือการเผชิญหน้ากันครั้งใหญ่ ที่สุดท้ายคือความแตกแยก-สูญเสีย ของคนร่วมชาติ เสียโอกาสที่จะได้มืออาชีพไปแก้เศรษฐกิจและโลกาภิวัตน์ที่กำลังฆ่าประชาชนอยู่ เขาถึงกับเล่นเกมเสี่ยงเดิมพันสูง ประกาศไม่หนุน “ลุงตู่” เป็นนายกฯ (คือการพยายามเอาชนะความเชื่อที่ว่า ประชาธิปัตย์เป็นพรรคบริวารของทหาร) และชูเอา “นโยบาย” ที่มุ่งแก้ปัญหาประชาชน ซึ่งเป็นนโยบายที่ทุกฝ่ายพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า“ดีที่สุด” เท่าที่พรรคการเมืองในประเทศไทยเคยคิดค้นมา เป็นเครื่องนำทางในนาม “ก๊กที่ 3” ที่ไม่จำเป็นต้องเลือกว่าจะเอาเผด็จการสืบทอดอำนาจ หรือประชาธิปไตยขี้โกง คติพจน์ “ประชาชนเป็นใหญ่ ประชาธิปไตยสุจริต” จึงเกิดขึ้น พร้อมๆ กับแนวทาง “แก้จน สร้างคนสร้างชาติ” ไม่สร้างความขัดแย้ง ไม่สร้างการเผชิญหน้า อันเป็นทางเลือกสร้างสรรค์จึงบังเกิด แต่ไม่ถูกซื้อ ด้วยโจทย์การเลือกตั้งที่ใช้ “ความเกลียดความกลัว” เป็นตัวตัดสิน
การพ่ายแพ้การเลือกตั้งที่ผ่านมา จึงมี “ปัจจัยสะสม” และ “ปัจจัยรบกวนเฉพาะหน้า” ที่ไม่ได้บอกว่า ประชาธิปัตย์เลือกทางผิดหรือ “ไม่มีความหมาย” แต่สนามนั้นไม่ใช่สนามของประชาธิปัตย์ และการสื่อสารในรอบ 10 ปีของประชาธิปัตย์ ไม่ได้สร้างความหวังหรือความน่าสนใจให้ตนเองมาอย่างต่อเนื่อง
แป้งเย็นตรางูตอนนี้ขายดิบขายดีในรูป “สเปรย์ความเย็น” เขาใช้ “จุดเด่นเดิม” แต่ “แปลง” รูปแบบการใช้งานเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนในสมัยนี้ได้ดี แทนที่จะพกกระป๋องแป้งอังกฤษตรางู ก็พกแต่หลอดสเปรย์เก๋ไก๋ แต่สิ่งที่ใช้จริงๆ คือ “สรรพคุณเดิม” ของอังกฤษตรางูนั่นแหละ
ประชาธิปัตย์จึงต้องเลือก “หัวหน้าพรรค” ที่จะเป็นสเปรย์ความเย็น
เลือกให้คนนอกพรรคเลือก ไม่ใช่เลือกเพื่อคนในพรรคสบายใจอยู่ฝ่ายเดียว กอดกินอุดมการณ์อย่างอิ่มหนำ แต่ไม่ถูกซื้อในสนามเลือกตั้งครั้งหน้า
จงเชื่อว่าคนประชาธิปัตย์ทุกคนมีอุดมการณ์ และจงเชื่อในระบบของการทำงานแบบประชาธิปัตย์ที่ไม่ได้ยกอำนาจให้ใครคนเดียวเป็นใหญ่
จงเลือกให้คนนอก “ตกหลุมรัก” ให้ได้ อย่ามัวแต่ใช้จุดยืนว่าร่วมหรือไม่ร่วมรัฐบาลซึ่งเป็นปัญหาเฉพาะหน้ามาเป็นตัวตัดสิน!!
ประชาธิปัตย์คงก้าวร้าวอย่างธนาธรไม่ได้ คงจะประชานิยมเท่าทักษิณไม่ได้ คงจะนักเลงและทำทุกวิถีทางเพื่อจะชนะแบบ คสช. ไม่ได้ แต่สิ่งที่ประชาธิปัตย์เป็นได้และเป็นจริงคือ ซื่อสัตย์มืออาชีพ และห่วงใยประเทศไทยอย่างแท้จริง
ในเมื่อทุกคนกำลังเป็น “นักรบ” ในสนามการเมืองกันหมดแล้ว ประชาธิปัตย์จงหาหัวหน้าพรรคที่จะเป็น “พรีเซ็นเตอร์” ที่ต่างไป
“ปัญหาเศรษฐกิจ” ที่สะสมมา และจะสะสมต่อเนื่องไป ในท่ามกลางการสู้รบทางการเมืองจนถึงจุดพินาศ วันนั้น (ซึ่งคงไม่นานนับจากนี้) ผู้คนจะโหยหา “มือเศรษฐกิจ” ซึ่งแน่นอน ใน คสช. ไม่มีในเพื่อไทยก็เข้าคุกกันไปทิวแถว ในอนาคตใหม่ก็ไม่ได้แสดงตัว จงเป็นสิ่งนี้ จงให้สิ่งนี้ ด้วยการเลือกหัวหน้าพรรคที่เป็นแสงเรืองรองของเรื่องนี้และใช้เวลานับจากนี้สื่อสารอย่างเข้มข้น ทำกิจกรรมกับคนรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง สร้างเมืองต้นแบบให้เป็นโมเดลเอาไว้ “ยกตัวอย่าง” ในการแข่งขันครั้งต่อไปอย่างมี “แต้มต่อ”
ให้เขา “รบ” ให้เขา “รื้อ” กันให้พอ สามัคคีกันเลือกและรอ “ซ่อมและสร้าง” บ้านของเราที่ชื่อประเทศไทย ด้วย“ตัวจริง” ที่ “ซื่อสัตย์” กันดีกว่า!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี