หลังจาก กกต.ได้ประกาศรับรอง สส. แบบบัญชีรายชื่อ จำนวน 149 คน และ สส. แบบเขตเลือกตั้ง จำนวน 349 คนแล้ว ทำให้เกิดผลตามรัฐธรรมนูญคือเป็นการนับเวลาเริ่มต้นการได้มาซึ่ง สว. และการประกอบรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาครั้งแรก ภายใน 15 วัน คือประมาณภายในวันที่ 23 พฤษภาคมนี้
แต่ในพลันที่มีการประกาศรับรอง สส. แบบบัญชีรายชื่อ ก็เกิดข้อครหาและตำหนิติเตียนการใช้สูตรในการจัดสรร สส. แบบบัญชีรายชื่อกันอย่างกว้างขวาง ทั้งจากพรรคการเมืองและนักวิชาการ รวมทั้งผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อที่คำนวณสัดส่วนแล้วควรจะได้เป็น สส. แต่กลับไม่ได้ ซึ่งคนเหล่านี้จะกลายเป็นผู้เสียหายโดยตรงที่จะฟ้องร้องกล่าวหา กกต. ได้ตามกฎหมาย
ดังนั้นเมื่อประมวลท่าทีทั้งหลายที่พรรคการเมือง นักการเมือง ไม่ว่าจะได้รับเลือกตั้งหรือไม่ได้รับเลือกตั้งนับตั้งแต่วันประกาศรับรอง สส. แบบบัญชีรายชื่อ รวมทั้งการประมวลการร้องเรียนก่อนหน้านี้เกี่ยวกับการจัดการเลือกตั้งแล้ว จึงมีลักษณะที่น่ากังวลว่าขณะนี้ กกต. กำลังกลายเป็นตำบลกระสุนตกไปแล้ว
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ศาลรัฐธรรมนูญมิได้วินิจฉัยสูตรการจัดสรร สส.แบบบัญชีรายชื่อดังที่มีการเตรียมการพาดหัวกันในโซเชียล
มีเดียและสื่อต่างๆ ว่าศาลรัฐธรรมนูญรับรองสูตรการจัดสรรของคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ และมีการขยายข่าวเรื่องนี้จนเกิดเป็นกระแสเข้าใจผิดกันทั้งบ้านทั้งเมือง
ต้องยืนยันให้ทราบกันว่า ศาลรัฐธรรมนูญมิได้วินิจฉัยสูตรการจัดสรร สส. แบบบัญชีรายชื่อเลย ดังนั้นจึงไม่สามารถอ้างได้ว่าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยรับรองการจัดสรร สส. แบบบัญชีรายชื่อของคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด
ที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคือ การวินิจฉัยตามคำร้องขอของผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งมาตรา 128 ไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 91 ซึ่งเป็นการวินิจฉัยว่ากฎหมายฉบับหนึ่งในมาตราหนึ่งไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 91
ดังนั้น กกต. จึงต้องใช้กฎหมายหรือจัดสรร สส.แบบบัญชีรายชื่อ ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 91 และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญมาตรา 128 ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไว้ ถ้าหากจัดสรรไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายก็เป็นความรับผิดชอบของ กกต.
ดังนั้นจึงต้องทำความเข้าใจรัฐธรรมนูญมาตรา 91 และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญมาตรา 128 ซึ่งมีหลายอนุมาตรา โดยอนุมาตรา 1-5 เป็นอย่างเดียวกัน ส่วนอนุมาตรา 6 เป็นต้นไปในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งนั้นเป็นข้อปลีกย่อยเกี่ยวกับการคำนวณสัดส่วนที่จะนำ สส. แบบบัญชีรายชื่อไปจัดสรร และการคำนวณ สส. พึงมีของแต่ละพรรค
นั่นคือจะต้องยึดหลักใน (1)- (5) ของรัฐธรรมนูญมาตรา 91 และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญมาตรา 128 ซึ่งมีหลักสำคัญดังต่อไปนี้คือ
ข้อแรก ต้องนำ สส. แบบบัญชีรายชื่อ ทั้ง 150 คน ไปจัดสรรให้แก่พรรคการเมืองที่มี สส. แบบเขตเลือกตั้ง
ข้อสอง ต้องจัดสรรให้เป็นไปตามสัดส่วน ซึ่งมีวิธีคำนวณไว้แล้ว และเท่าที่ทุกสำนักประมาณการตรงกันก็คือต้องมีสัดส่วนคะแนนเสียงเลือกตั้งประมาณ 70,000 เสียง จึงจะได้ สส. แบบบัญชีรายชื่อ 1 คน จะไปจัดสรรโดยผิดสัดส่วนดังกล่าวไม่ได้
ข้อสาม ต้องจัดสรรให้แก่พรรคการเมืองที่มี สส. แบบเขตเลือกตั้ง ต่ำกว่าจำนวน สส.พึงมีของพรรคนั้น และเมื่อจัดสรรแล้วต้องไม่ทำให้พรรคนั้นมี สส. มากกว่าจำนวน สส.พึงมี
ส่วนวิธีการคำนวณสัดส่วนและวิธีการคำนวณ สส. พึงมีเป็นข้อปลีกย่อยที่อยู่ภายใต้หลักดังกล่าว
ดังนั้นพรรคการเมืองและนักการเมืองที่ได้รับความเสียหายหากว่าการจัดสรร สส. แบบบัญชีรายชื่อไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ผู้เสียหายเหล่านั้นย่อมมีสิทธิ์ฟ้องร้องว่ากล่าว ซึ่งเท่าที่สรุปจากข่าวก็เห็นได้ชัดว่าจะมีการดำเนินคดีอาญาทั้งตามประมวลกฎหมายอาญาและตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ซึ่งอาจจะมีหลายกรรมหลายกระทงความผิด ซึ่งจะต้องติดตามดูกันต่อไปว่าการดำเนินคดีดังกล่าวนั้นจะดำเนินโดยทิศทางไหนบ้าง
และยังจะมีการดำเนินการเพื่อให้มีการแก้ไขการรับรองผลที่พรรคการเมืองหรือนักการเมืองที่เสียหายเห็นว่าไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ซึ่งในที่สุดอาจจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่เปลี่ยนแปลงก็ได้ ซึ่งในประการนี้จะทำให้กระบวนการต่างๆ มีความเสี่ยงที่จะถูกยกเลิกเพิกถอนได้ทั้งหมดหรือบางส่วนในภายหลัง
นอกจากนั้น บรรดาผู้เสียหายจากกรณีที่การเลือกตั้งไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือโดยไม่สุจริตและเที่ยงธรรม และมีการร้องเรียนให้ไต่สวนอยู่จำนวนมาก แต่ไม่ปรากฏผลว่า กกต. ได้ตรวจสอบไต่สวนและวินิจฉัยอย่างไร ทั้งนี้กฎหมายได้บัญญัติให้ กกต. ต้องรีบตรวจสอบไต่สวนโดยพลัน เพราะมีผลต่อองค์ประกอบของรัฐสภาและคะแนนเสียงในการเลือกประธานสภาและนายกรัฐมนตรีด้วย
จากการรายงานข่าวของสื่อทุกกระแสอันได้ประมวลมานี้จึงมีแนวโน้มว่าปัญหาเกี่ยวกับการจัดการเลือกตั้งจะยังคงเป็นปัญหาและขับเคลื่อนต่อไป ซึ่งย่อมมีผลทำให้ สส. พรรคการเมืองและการจัดตั้งรัฐบาลจะเผลอไผลไม่ชำเลืองมองไม่ได้!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี