ข่าวว่า ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ต้องโทษจำคุกคดีทุจริต หลบหนีหมายจับของศาลฎีกาฯ กำลังเจรจาจะซื้อหุ้นเพื่อเทคโอเวอร์สโมสรฟุตบอลอังกฤษ แน่นอนว่าการเลือกใช้เงินของนายทักษิณ ย่อมตัดสินใจว่าจะต้องเล็งผลประโยชน์ต่อตนเองสูงสุด แต่มันจะถือเป็นกรรมของสโมสรที่กำลังจะถูกซื้อหรือไม่?
1. สื่อบางสำนักที่ใกล้ชิดกับนายทักษิณ ออกข่าวว่า นายทักษิณกำลังเจรจาซื้อทีมคริสตัล พาเลซ ด้วยเงินจำนวน 150 ล้านปอนด์ (6,225 ล้านบาท)
สโมสรฟุตบอลคริสตัล พาเลซนั้น อยู่ในลีกสูงสุดของอังกฤษ เพิ่งจบอันดับ 12 ในฤดูกาลล่าสุด
เป็นทีมเก่าแก่ อายุ 113 ปี
ที่สำคัญ ตั้งอยู่ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
ข้อดีถ้านายทักษิณซื้อสำเร็จ กลายเป็นเจ้าของคนใหม่ คือ นายทักษิณย่อมจะได้สิทธิประโยชน์ในฐานะนักลงทุนในอังกฤษ ทั้งเรื่องการเดินทาง การพำนักอาศัยในกรุงลอนดอน และยังได้สถานะเป็นเจ้าของทีมฟุตบอลในระดับพรีเมียร์ลีก ได้เข้าไปอยู่ในแวดวงสังคมข่าวสารโลกต่อไป
2. การเลือกสโมสรคริสตัล พาเลซ ทีมในระดับลีกสูงสุดอยู่แล้ว ก็ชัดเจนว่าทักษิณไม่ได้มีความรัก ความมุ่งมั่นที่จะปลุกปั้นทีมจากลีกระดับล่าง เหมือนที่เจ้าสัววิชัยเคยทำกับเลสเตอร์ซิตี้ ซึ่งไต่ชั้นขึ้นมาสู่ลีกสูงสุด กระทั่งได้แชมป์
เชื่อว่า ทักษิณไม่มีทางเป็น และไม่มีวันทำได้ เหมือนเจ้าสัววิชัย
ตรงกันข้าม การเข้าซื้อหุ้นครั้งนี้ น่าจะมุ่งหวังผลประโยชน์ส่วนตัว และแก้ปัญหาส่วนตัวของเขา มากกว่าอนาคตของสโมสร
อีกด้านหนึ่ง อาจจะถือเป็นความเสี่ยง หรือคราวซวยของแฟนบอลคริสตัล พาเลซ
จริงหรือไม่ เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์
3. ทักษิณใช้ทีมฟุตบอลอังกฤษ เป็นเครื่องมือมาหลายครั้งแล้ว
สมัยเป็นนายกฯ เคยตีปี๊บ ประกาศจะซื้อหุ้นลิเวอร์พูลด้วยซ้ำ
ตอนนั้น กลบข่าวความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ถึงขนาดเปิดทำเนียบรัฐบาลต้อนรับนายริค แพรรี่ หัวหน้าคณะผู้บริหารสโมสรลิเวอร์พูล (ขณะนั้น) เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2547
ตอนแรก ข่าวออกมาเหมือนกับว่า นายทักษิณจะใช้เงินส่วนตัวและพรรคพวกเข้าซื้อหุ้น
แต่ทำไปทำมา กลับกลายเป็นว่า มีการโยนก้อนหินถามทางที่จะใช้เงินของรัฐเข้าซื้อหุ้น
นายจักรภพ เพ็ญแข โฆษกรัฐบาลขณะนั้นให้สัมภาษณ์ว่า “นายกรัฐมนตรีต้องการให้คนไทยทุกคนมีส่วนร่วมในความเป็นเจ้าของสโมสร … การเจรจาซื้อหุ้นสโมสรลิเวอร์พูลทำในฐานะรัฐบาลไทย ไม่ใช่ในฐานะทักษิณ”
กระทรวงการคลัง ทั้งรัฐมนตรีช่วยว่าการและปลัดกระทรวงขณะนั้น ต่างออกมาสนับสนุนความคิดของนายกรัฐมนตรี แบะท่าพร้อมระดมเงินทุนในส่วนภาครัฐเพื่อซื้อหุ้น แถมแนะนำให้เอาเงินจากกองสลากฯไปซื้อหุ้น
18 พฤษภาคม 2547 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เป็นผู้ประสานงานในการซื้อหุ้นสโมสรฟุตบอลพรีเมียร์ลีก (คาดว่าจะเป็นสโมสรลิเวอร์พูล) โดยใช้วิธีการออกสลากพิเศษเพื่อการกีฬา หรือใช้หวยระดมเงินประชาชน มูลค่า 10,000 ล้านบาท แล้วนำเงินประมาณ 5,000 ล้านบาท ที่ได้ ไปซื้อหุ้นสโมสรลิเวอร์พูล หวย 1 ใบ มูลค่า 1,000 บาท ดังกล่าวสามารถแปลงเป็นหุ้นมูลค่า 200 บาทได้ ฯลฯ
สุดท้าย ก็โอละพ่อ
นับเป็นโชคดีของลิเวอร์พูล!
เพราะดีลนั้นมีความสลับซับซ้อน ซึ่งแน่นอนจะเกิดความยุ่งยากในการบริหารสโมสร ไม่เป็นไปแบบมืออาชีพแน่นอน ลิเวอร์พูลจึงรอดจากดีลการเมือง ไปสู่ดีลธุรกิจเจ้าอื่น แล้วก็ยังรุ่งโรจน์อยู่ในปัจจุบัน
4. ทักษิณกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้
ยุคที่ทักษิณเป็นเจ้าของทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถูกจัดอยู่ในยุคมืดของทีม
การซื้อนักเตะ ไม่มีดีลที่คุ้มค่าเลย
การบริหารเละเทะ
ท่ามกลางครหาที่มีต่อตัวเจ้าของที่หนีคดีไปจากเมืองไทย
ซื้อฟุตบอลที่รักของแฟนบอลท้องถิ่น นำมาปู้ยี่ปู้ยำจนเละเทะ เพื่อตอบโจทย์การเมืองส่วนตัวในขณะนั้น
แฟนบอลสิ้นหวัง ไร้ความสำเร็จ และจารึกไว้ด้วยซ้ำว่าทีมมีหนี้สินล้นพ้น
โชคดี ที่ได้เจ้าของใหม่เป็นอภิมหาเศรษฐีจากดูไบ สโมสรค่อยเติบโตมาสู่ยุคทองในปัจจุบัน
5. ครั้งนี้ ทักษิณกับทีมฟุตบอลอังกฤษ (อีกแล้ว)
จึงน่าเชื่อว่า ก็เป็นแค่ยานพาหนะอันใหม่ ในวิธีการแบบเดิมๆ
ไม่มีมุขใหม่เลย
ทางการไทยควรจะตรวจสอบด้วยว่า ทักษิณเอาเงินจากไหนมาซื้อ เกี่ยวกับโครงการจำนำข้าว ข้าวจีทูจี หรือไม่ เพราะเขาเพิ่งถูก ป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหาไปไม่นานมานี่เอง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี