เมื่อมีการพูดถึงเรื่องความเป็นประชาธิปไตยทีไร ก็มักจะมีการค่อนขอดกันในมุมมองที่ว่า เป็นเรื่องนำเข้ามาจากพวกฝรั่งมังค่า หรือชาวตะวันตก ซึ่งบางทีก็เลยเถิดไปจนถึงขั้นที่ว่าคนไทยนั้นต่างประเพณีวัฒนธรรมกับฝรั่ง คนไทยยังไม่พร้อม ประชาธิปไตยนั้นไม่เหมาะสมกับพื้นฐานของคนไทย หรือเมื่อเป็นไทย ก็จะต้องไม่ต้องการเดินตามก้นฝรั่ง
หลังจากนั้น ก็ยังมีการสร้างค่านิยมกันไว้ว่า ประชาธิปไตยเป็นสาเหตุที่ทำให้บ้านเมืองยุ่งเหยิง ไร้เสถียรภาพ ฉะนั้น หากต้องการความสงบเรียบร้อย ก็ต้องมีการควบคุม สั่งการ เพื่อให้ผู้คนอยู่ในวินัย โดยผู้นำที่เข้มแข็งเด็ดขาด มีอำนาจมากๆ จึงจะเหมาะสม และเป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆ
ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะเราลืมกันไปแล้วว่า แม้แต่สังฆะสมาคมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นก็ยังเป็นองค์กร หรือสถาบันประชาธิปไตยของการเสวนา ของการปรึกษาหารือ และการมีข้อยุติร่วมกัน ซึ่งจะเห็นพ้องหรือไม่เห็นพ้องในเรื่องหนึ่งเรื่องใดก็ตามต้องเป็นมติ
หรือแม้กระทั่งในสมัยสุโขทัย เราก็ต่างเรียนมาแต่เยาว์วัยในเรื่อง “ระฆัง” ของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ที่บ่งบอกความใกล้ชิด และการเข้าถึงได้ ระหว่างพ่อขุนผู้เป็นผู้นำ กับประชาชนที่เป็นลูกบ้าน ในทำนองพ่อปกครองลูก
เมื่อมองให้ลึกไปอีกหน่อย ระฆัง ก็หมายถึงการเป็นสังคมประชาธิปไตย อันได้แก่ สิทธิเสรีภาพของลูกบ้านในการที่จะใฝ่หาความเป็นธรรมในการที่จะให้มีการแก้ไข หรือบรรเทาความเดือดเนื้อร้อนใจ จากพ่อบ้านหรือพ่อขุนผู้เป็นผู้นำ
และในแง่กลับกัน ฝ่ายพ่อขุนผู้ปกครองก็สามารถใช้ระฆังเพื่อเรียกชุมนุมประชุมการเพื่อบอกกล่าว เพื่อรับฟัง เพื่อปรึกษาหารือ และหาข้อยุติ หรือฉันทามติร่วมกัน เป็นประชาธิปไตยของการมีส่วนร่วม และเป็นประชาธิปไตยทางตรง (ไม่ต้องไปมอบ หรือผ่านผู้แทนใดๆ)
เมื่อไหร่ที่ผมได้มีโอกาสไปบรรยายเรื่องประชาธิปไตยในรั้วสถาบันการศึกษา ในเวทีชาวบ้านและชุมชน ก็มักจะยกเรื่อง องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า และพ่อขุนรามคำแหงมหาราช เป็นจุดเริ่มต้นของการพูดถึงเรื่องเสรีประชาธิปไตยเสมอ
ซึ่งนอกจากกฎเกณฑ์บ้านเมืองแล้ว ก็มักจะเน้นเพิ่มในเรื่อง สังคมต้องถูกกำกับด้วยหลักธรรม โดยเฉพาะตัวผู้นำ และผู้ใช้อำนาจของปวงชน จะยิ่งต้องอยู่ในศีลในธรรม หรือดำรงตนด้วยธรรม จะเป็นอื่นใดมิได้
บัดนี้ เรากำลังเริ่มต้นสังคมไทยกันใหม่ด้วยการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแล้วข้อหวาดหวั่นของพวกเราชาวไทยโดยทั่วไปก็คือ บรรดาผู้แทนของเรานั้น
- จะเปิดโอกาสให้เรามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนประเทศมากน้อยแค่ไหน
- จะให้เราเข้าถึงไหม
- จะปรึกษาหารือกับเราไหม
- จะเปิดให้เราได้รับข้อมูล ได้รับรู้หรือไม่
- จะใจกว้างให้เราตรวจสอบแค่ไหน
- จะตัดสินใจใดๆ เพื่อประโยชน์ของส่วนรวมอย่างเดียวหรือไม่
- จะใช้อำนาจ (ของเรา) ด้วยความเที่ยงธรรม และซื่อสัตย์ ซื่อตรง ไม่มีการหาประโยชน์เข้าตัว และไม่มีการเลือกปฏิบัติใช่ไหม
ในการบรรยายทุกครั้ง ผมก็มักเน้นเรื่องการร่วมเป็นเจ้าของประเทศ คือเป็นเจ้าของงบประมาณ เป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติ และทรัพย์สินสาธารณะทั้งหลาย ฉะนั้น ก็ต้องรู้ว่า “ผู้แทน” ของเรามีแผนใช้งบอย่างไร และเพื่อประโยชน์สุขอย่างทั่วถึงหรือไม่
ประชาธิปไตยนั้นมิใช่เรื่องไกลตัวคนไทยแต่อย่างใด มิใช่เป็นเรื่องที่ลอกฝรั่งมาอย่างเดียว หากแต่แทรกอยู่ในประเพณีวัฒนธรรมของไทยเรามาช้านาน เพียงแต่เราอาจมองข้าม อาจลืมเลือนไปได้ ซึ่งก็น่าจะฟื้นฟูขึ้นมาได้
เมื่อในวันนี้ เราได้รู้ตัวว่า เรานั้นมีความเป็นเจ้าของประเทศ จึงมีสิทธิและหน้าที่ ที่จะร่วมคิดร่วมทำ ดังนั้น “ผู้แทน” จะเป็นผู้ต้องรับฟัง และผู้ให้บริการเรา และทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันสืบสานวัฒนธรรมประเพณี จึงเป็นเรื่องของการต้องเดินไปด้วยกัน เพราะระฆังเป็นของเราทุกคน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี