การดำเนินคดีกับอดีตพระสงฆ์ที่กระทำผิดกฎหมายบ้านเมือง มีผลคืบหน้าตามลำดับ
1. เมื่อวันที่ 16 พ.ค. 2560 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง หรือศาลปราบโกง พิพากษาคดีทุจริตเงินทอนวัด ที่มีนายเอื้อน กลิ่นสาลี หรืออดีตพระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม) อดีตเจ้าอาวาสวัดสามพระยา อดีตกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) และอดีตเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร กับ นายสมทรง อรรถกฤษณ์ หรืออดีตพระอรรถกิจโสภณ อดีตเลขานุการเจ้าคณะกรุงเทพฯ วัดสามพระยา เป็นจำเลย
ข้อหาความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และฐาน เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน, ร่วมกันฟอกเงิน อันเป็นความผิดตามกฎหมายฟอกเงิน
กรณีเมื่อปลายปี 2556-2557 ร่วมกันทุจริตเงินทอนวัด ในส่วนของการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม
ผอ.พศ.ขณะนั้น ก็คือ นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ที่หนีคดีอยู่ในปัจจุบัน
ศาลปราบโกงชี้ข้อเท็จจริงว่า สำนักพระพุทธศาสนาอนุมัติเงินเบิกจ่ายให้แก่วัด 9 วัด จำนวน 72 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญ ในขณะที่วัดสามพระยาไม่มีโรงเรียนพระปริยัติธรรม แต่ปรากฏว่าวัดสามพระยาได้รับเงินจำนวน 5 ล้านบาท โดยจำเลยนำเงินดังกล่าวไปใช้ก่อสร้างอาคาร ทั้งที่ก่อนหน้านั้นในปี 2556 สำนักพระพุทธศาสนาเคยมอบเงินเพื่อเป็นการบูรณะอาคารร่มธรรมและอาคารพักสงฆ์แก่วัดสามพระยาไปแล้ว แต่จำเลยทั้งสองกลับนำเงินไปฝากเพื่อรับดอกเบี้ยจากธนาคาร แล้วนำเงินที่ได้รับการสนับสนุนโรงเรียนพระปริยัติธรรมโดยมิชอบนั้นไปเป็นเงินในการบูรณะก่อสร้างอาคารแทน โดยถอนออกจากบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาย่อยตลาดบางกรวย 2 ครั้ง พฤติกรรมโอนเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดหรือซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สิน หรืออำพรางลักษณะที่แท้จริง อันเป็นการฟอกเงิน
พิพากษาว่า นายเอื้อน กลิ่นสาลี หรืออดีตพระพรหมดิลก กระทำความผิดฐานฟอกเงิน และต้องรับโทษเป็น 2 เท่าเพราะเป็นเจ้าพนักงานผู้ปกครองวัด จำคุก 2 กระทง ลงโทษกระทงละ 3 ปี รวมจำคุก 6 ปี
นายสมทรง อรรถกฤษณ์ หรืออดีตพระอรรถกิจโสภณ จำคุก 2 กระทง กระทงละ 1 ปี 6 เดือน รวมจำคุก 3 ปี
ทั้งสองถูกคุมตัวมาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ อยู่ในชุดนุ่งขาวห่มขาว
ฟังคำพิพากษาเสร็จ นำตัวกลับเข้าเรือนจำ รับโทษต่อไป
ส่วนทนายความ ดำเนินการต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ต่อไป
2. คำพิพากษามีเนื้อหารายละเอียดชัดเจน
ระบุถึงเอกสารหลักฐานแน่นหนา แถมมีพยานเป็นเจ้าหน้าที่ พศ.
จำเลยมอบอำนาจให้ฆราวาสเบิกถอนเงินจากบัญชี ภายหลังได้เงินสนับสนุนจาก พศ. ทั้งที่ความจริง วัดสามพระยาไม่มี รร.พระปริยัติธรรมฯ แต่อย่างใด
มีการเบิกถอนเงินจากบัญชีของวัด จำนวน 3 ครั้ง
ครั้งแรก 500,000 บาท
ครั้งที่สอง 1.9 ล้านบาท
ครั้งที่สาม 1.68 ล้านบาท
เบิกถอนเงินมาแล้ว ได้นำเข้าบัญชีเงินฝากสีกาคนหนึ่ง แล้วเอาไปฝากอีกบัญชีเพื่อเอาดอกเบี้ย
แถมมีคำให้การแน่นหนักจากเจ้าหน้าที่ พศ. ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจกันไว้เป็นพยาน ยืนยันข้อมูลว่างบดังกล่าวเป็นงบเพื่อการศึกษาพระปริยัติธรรม ซึ่งจำเลยรู้ดีอยู่แล้ว แต่ยังเบิกเงินออกไปใช้จ่ายเพื่อการอื่น เข้าข่ายฟอกเงิน
ส่วนข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และฐานสนับสนุนเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายมาตรา 157 ศาลยกฟ้อง โดยชี้ว่าจะต้องเป็นเจ้าพนักงานที่ทำหน้าที่ในการปฏิบัติโดยตรง แต่เหตุที่เกิดขึ้นเป็นการมอบอำนาจเบิกเงินจากบัญชี จึงไม่ใช่อำนาจโดยตรง จึงไม่มีความผิดตามฟ้องในข้อหานี้
สะท้อนว่า ศาลได้พิจารณาตามพยานหลักฐานและข้อเท็จจริง ให้ความเป็นธรรมตามแต่ละข้อหาความผิด
3. สำหรับกรณีทุจริตงบประมาณที่จัดสรรให้โดย พศ. ช่วงปี 2556-2557 พนักงานสอบสวนได้กล่าวหาอดีตพระชั้นผู้ใหญ่หลายคน กลุ่มฆราวาส และกลุ่มข้าราชการสำนัก พศ. รวมกว่า 20 ราย
แล้วยังมีข้อหาฟอกเงิน อีกหลายคดีด้วย
นอกจากนี้ ปปง.ยังได้ตรวจสอบเส้นทางการเงินและอายัดทรัพย์ โดยคณะกรรมการธุรกรรม มีคำสั่งที่ ย.82/2561 อายัดทรัพย์สินประเภทเงินฝากอดีตพระผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับคดีทุจริตเงินงบประมาณอุดหนุนบูรณะซ่อมแซม เพื่อการศึกษาพระปริยัติธรรม และเพื่อการเผยแผ่ดำเนินกิจกรรมทางศาสนา (เงินทอนวัด) จำนวน 4 ราย ได้แก่ 1.พระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขโข) เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร พระพรหมเมธี พระพรหมดิลก พระวิจิตรธรรมาภรณ์ (เทอด วงศ์ชะอุ่ม) รวมทั้งสิ้น 10 บัญชี เป็นเงิน 134,793,505 บาท
เมื่อเร็วๆ นี้ ศาลปราบโกงก็เพิ่งจะพิพากษาคดีพระฟอกเงินสำนวนแรกไป เมื่อวันที่ 18 เม.ย.2562 จำคุก 26 ปี นายสมเกียรติ ขันทอง หรืออดีตพระครูกิตติ พัชรคุณ อดีตเจ้าคณะอำเภอชนแดน จ.เพชรบูรณ์ ความผิดฐานฟอกเงิน
ยังมีอดีตพระผู้ใหญ่ที่รอขึ้นเขียงอีกหลายราย
4. อดีตพระพรหมเมธี (จํานงค์ เอี่ยมอินทรา) นี่ก็ถูกข้อหาผ้าเหลืองฟอกเงิน ถูกดำเนินคดี แต่หลบหนีหมายจับ
มีพระบรมราชโองการฯ ให้ถอดถอนสมณศักดิ์ไปแล้ว
เคยเป็นถึงโฆษกกรรมการมหาเถรสมาคม
เป็นผู้สนับสนุนธัมมชโยเต็มที่ เช่นเดียวกับอดีตพระพรหมดิลก
คดีฟอกเงินของอดีตพระพรหมเมธี ก็เกี่ยวกับงบอุดหนุนด้านโรงเรียนพระปริยัติธรรม ช่วงปี 2557 เช่นกัน
5. ส่วนอดีตพระธัมมชโย เป็นอีกคนที่มีข้อหาอาศัยผ้าเหลืองฟอกเงิน ถูกดำเนินคดี แต่หลบหนีหมายจับ
เพียงแต่คดีนั้นไม่เกี่ยวกับเงินอุดหนุนวัด เกี่ยวกับเงินโกงสหกรณ์ฯคลองจั่น
โดนหมายจับของศาลอาญา ข้อหาสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันรับของโจร จากการรับเช็คหลายฉบับจากนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์ฯคลองจั่น อดีตไวยาวัจกรวัดพระธรรมกาย
มีพระบรมราชโองการฯ ให้ถอดถอนสมณศักดิ์ไปแล้ว
นอกจากนี้ ยังมีการสอบสวนดำเนินคดีเกี่ยวกับมูลนิธิมหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ในอุปถัมภ์พระราชภาวนาวิสุทธิ์ ที่มีบทบาทเสมือนท่อน้ำเลี้ยงในการจัดสรรจัดการเงินธรรมกาย ผ่านโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ มูลค่ารวมมากกว่าหมื่นล้านบาท อาทิ โครงการ World Peace Valley เขาใหญ่ อาคารบุญรักษา อาคารลูกโลก ฯลฯ
ที่สำคัญ มีการดำเนินคดีฟอกเงินกับอดีตผู้บริหารมูลนิธิด้วย และร้องให้อัยการสูงสุดยื่นศาลแพ่งให้มีคำสั่งเลิกกิจการมูลนิธิ เนื่องจากกระทำผิดกฎหมาย ผิดวัตถุประสงค์มูลนิธิ ซึ่งหากศาลสั่งให้เลิกกิจการ ทรัพย์สินก็จะตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินส่วนรวมต่อไปด้วย
ขณะนี้ ยังไม่ปรากฏว่า คดีคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี