วันที่ 18 พฤษภาคม 2562 นี้เป็นวันวิสาขบูชาตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ซึ่งเป็นวันที่ตรงกันทั้ง 3 วาระ คือ วันประสูติ วันตรัสรู้ และวันปรินิพพาน ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในวันนี้พุทธศาสนิกชนทั้งหลายเข้าวัด ทำบุญ ฟังเทศน์ฟังธรรม ตามวัดวาอารามต่างๆ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต
ขอขึ้นธรรมาสน์เทศน์สักวันนะโยมทั้งหลาย
อยากขอให้เราพิจารณาตัวเองด้วยว่า ชีวิตของเราที่ผ่านมานั้นเป็นอย่างไร ขาดทุนหรือกำไรในการประพฤติปฏิบัติตนของเรา ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเป็นอย่างไร เพื่อจะได้แก้ไขส่วนบกพร่องนั้นๆ ให้ถูกต้องพุทธวิถีตามคำสอนของพระพุทธองค์
พุทธะคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแจ่มใส
ต้องรู้จักตัวเอง รู้จักสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
รู้ว่าสิ่งนั้นให้คุณให้โทษกับตัวเองอย่างไร และจะออกไปจากสิ่งเหล่านั้นที่ไม่ดีได้อย่างไร
ผู้รู้ต้องรู้สรรพสิ่งทั้งหลายตามสภาพที่เป็นจริง ทำอะไรก็ทำด้วยความรู้ ไปไหนก็ไปอย่างผู้รู้ คิดด้วยความรู้ พูดด้วยความรู้ จะไม่ผิดพลาดเสียหาย
มีสติประจำใจ พร้อมที่จะรับสิ่งต่างๆ ด้วยปัญญา รับด้วยสติ ไม่ใช่รับด้วยความโง่ เพราะถ้ารับด้วยความโง่ ความโกรธ ด้วยความหลงอย่างนี้ก็มืดมัว แต่ถ้ารับด้วยสติปัญญาก็จะมองเห็นหมดทุกอย่าง พุทธศาสนิกชนจึงต้องเป็นผู้ตื่นอยู่ตลอดเวลา มองเห็นอะไรชัดเจนตามสภาพความเป็นจริง คนที่ยุ่งอยู่กับความโลภ ยุ่งอยู่กับความโกรธ ยุ่งอยู่กับความหลง ยุ่งกับความริษยา วุ่นวายไปด้วยความวิตก ถ้าเป็นอย่างนี้ก็จะทำให้ชีวิตเดินไปด้วยความทุกข์ ไม่มีความสุข
การดำรงชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย หิวก็กิน ง่วงก็นอน เหนื่อยก็พักผ่อน ร้อนก็อาบน้ำ แผ่นดินก็มีให้เดิน ตะวันก็มีส่อง อย่างนี้จะไปเดือดร้อนอะไร
มีอะไรที่ทำให้ต้องเป็นทุกข์
ความทุกข์ที่เราเกลียดและกลัวที่สุดนั้น เกิดจากเหตุปัจจัยอะไร เป็นสิ่งที่ต้องมองให้เห็น และเราได้แก้ไขสิ่งเหล่านั้นถูกวิธีหรือไม่
อย่าเป็นคนที่อยากสุขแต่ไม่รู้จักสุข อย่าหนีให้พ้นทุกข์แต่ไม่รู้จักทุกข์ สุ่มสี่สุ่มห้าเดินอยู่แต่ในความมืด อ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วย
ภาษาธัมมะเรียกว่าเป็นผู้ที่มีแต่ อวิชชา
อวิชชาคือความไม่รู้ เมื่อไม่รู้ก็เกิดปัญหา ทำให้มีความทุกข์ เดือดเนื้อร้อนใจ
ตรงข้ามกับ วิชชา คือความรู้แจ้ง เห็นแจ้งในสิ่งที่ถูกต้อง วิชชาทำให้เกิดปัญญา ทำให้มีสติยั้งคิด รู้จักผิดชอบชั่วดี
ผู้นับถือศาสนาพุทธจึงต้องเป็นผู้ตื่นอยู่ตลอดเวลา มองเห็นอะไรตามสภาพความเป็นจริง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพียงกระแสธรรมชาติ ที่ไหลไปตามอำนาจของการปรุงแต่ง หมดอำนาจการปรุงแต่งเมื่อไร ก็แตกดับไปตามธรรมชาติ
ไม่มีอะไรจะฝืนธรรมชาติไปได้
พระพุทธเจ้าจึงสอนให้เรารู้จักธรรมชาติว่า มันมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ชีวิตเราก็เปลี่ยนแปลง สิ่งแวดล้อมก็เปลี่ยนแปลง ดินฟ้าอากาศก็เปลี่ยนแปลง เงินทองในกระเป๋าก็เปลี่ยนแปลง
ไม่มีอะไรตั้งมั่นคงอยู่ได้ตลอดไปถ้าไม่ระมัดระวัง
ก่อนมี ก็ไม่มี
ก่อนเป็น ก็ไม่เป็น
ทุกสิ่งทุกอย่างไปตามเหตุ ตามปัจจัย ตามวิธีทางแห่งธรรมชาติ
ทะเลมีหรือที่จะว่างจากคลื่น เส้นทางอันยาวไกลมีหรือที่จะราบเรียบตลอดไป แผ่นดินในโลกนี้มีหรือที่จะราบเรียบเสมอกัน
ใบไม้ในป่าประเภทเดียวกัน มีหรือจะเท่ากัน
ฟ้ามีหรือจะไม่เปลี่ยนสี หรือไม่มีเมฆตลอดเวลา
เวลาและกระแสน้ำมีหรือที่จะหวนกลับ
แก่แล้วมีหรือที่จะลอกคราบเป็นหนุ่มสาวได้อีก
ถ้าคิดอย่างนี้เสียได้ มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามสภาพที่เป็นจริง สติปัญญาก็จะเพิ่มขึ้น สามารถนำไปใช้แก้ไขข้อบกพร่องให้เป็นส่วนที่ถูกต้องเรียบร้อย ชีวิตก็จะมีค่า มีราคา
เรื่องสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือเรื่องของความโลภที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นกิเลสของมนุษย์ และเรื่องของความโกรธ ความหลง ซึ่งล้วนเป็นสิ่งไม่ดี เผาใจให้เร่าร้อน ได้ตลอดเวลา
จิตใจที่มีแรงผลักดันอย่างมากของกิเลสดังกล่าว จะฉุดลากไปในทางที่ผิดเสมอ ถ้ารักตัวเองก็ต้องดับไฟเหล่านี้ด้วยตัวเอง
ขอฝากเรื่องเหล่านี้ไว้ในวันวิสาขบูชาด้วย
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี