คนไทยบางกลุ่มเรียกร้องหาประชาธิปไตย เพราะเวลาพูดคำนี้แล้วทำให้ตนเองดูดีเกินความเป็นจริง แม้แต่คนที่มีสันดานเผด็จการก็ยังอุตส่าห์อ้างว่าตนเองเป็นประชาธิปไตย นักการเมืองที่โกงการเลือกตั้งก็ยังอ้างว่าตนเองศรัทธาและเชิดชูประชาธิปไตย นายทุนที่ขูดเลือดขูดเนื้อประชาชนก็ยังอ้างว่าตนเองส่งเสริมประชาธิปไตย ผู้ทำรัฐประหารก็ยังอวดอ้างอีกว่าตนเองยึดมั่นและเคารพประชาธิปไตย
คนไทยบางจำพวกบอกว่าถ้ามีประชาธิปไตยแล้ว ประเทศชาติจะเจริญรุ่งเรือง ประชาชนจะร่ำรวย แต่ก็ต้องบอกว่าคนที่พูดเช่นนี้เป็นพวกโกหกตัวเอง หรือถ้าหากไม่โกหกตัวเองก็เป็นพวกที่ไม่เคยรับรู้ความเป็นจริงของโลกมนุษย์ แต่ครั้นจะบอกว่าเป็นพวกโง่เขลา ก็เกรงว่าจะใช้คำพูดที่รุนแรงทำร้ายจิตใจกันจนเกินไป เพราะในความจริงนั้น ประเทศที่ร่ำรวยตั้งมากมายบนโลกใบนี้ ไม่ได้ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย (โดยเฉพาะประชาธิปไตยตามแบบฉบับของประเทศในซีกโลกตะวันตก อย่างเช่น สหรัฐอเมริกา และประเทศในยุโรปตะวันตก) เช่น จีน บรูไน สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และอีกหลายสิบประเทศเขตตะวันออกกลาง
คนไทยมักจะถูกโกหกโดยผู้มีอิทธิพลทางความคิด แล้วก็ยังอุตส่าห์โกหกตัวเองอีกว่า เมื่อประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยแล้วทุกอย่างจะดีงาม ทุกอย่างจะเจริญ ความเป็นอยู่จะดีวิเศษ การศึกษาจะมีคุณภาพ ซึ่งคำอ้างเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งไม่จริงในทุกกรณีไป เพราะประเทศที่ไม่ได้ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตกหลายประเทศก็กลับมีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และมีการศึกษาที่มีคุณภาพมากจนเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลก ขอยกตัวอย่างซ้ำเดิม เช่น จีน เกาหลีใต้ สิงคโปร์ เป็นต้น
คนไทยจำนวนไม่น้อยเป็นคนไม่ยอมรับความจริง นอกจากไม่ยอมรับความจริงแล้ว ยังชอบโกหกตัวเองอีกด้วย คนไม่ยอมรับความจริงจำพวกนี้มักโกหกตัวเองว่า ประเทศไทยมีประชาธิปไตยมาตั้งแต่ 2475 ถามจริงๆ เถอะ เมื่อไรจะเลิกโกหกด้วยคำพูดเช่นนี้เสียที บางคนหนักไปกว่านั้นอีก เพราะบอกว่า ประเทศไทยมีประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์มาตั้งแต่หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ 2516 ก็ขอถามอีกทีว่า แน่ใจหรือว่าหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ แล้ว เมืองไทยเป็นประชาธิปไตยจริงๆ
คนไทยจำนวนไม่น้อยเป็นพวกเรียนหนังสือมากแต่คิดไม่เป็น คนจำพวกนี้หลงเชื่อด้วยความงมงายว่า เพราะมีการระบุไว้ในรัฐธรรมนูญว่าประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย
ขอโทษนะ! แค่การเขียนว่าประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย มันไม่สามารถทำให้คนไทยและสังคมไทยเป็นประชาธิปไตยได้โดยสมบูรณ์แบบ ขอย้ำว่าการเขียนไว้ในกฎหมายแล้วไม่ใช่จะทำให้เกิดประชาธิปไตยขึ้นมาได้ เหมือนกับคนที่ท่องศีลห้าได้ขึ้นใจทุกวินาที แต่ไม่เคยปฏิบัติตนตามหลักของศีลทั้งห้าข้อ ก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่ท่องบ่นศีลห้าได้จะเป็นคนรักษาศีลห้าได้บริบูรณ์
อีกประการหนึ่งคนไทยจำนวนมากยังงมงายว่าการเลือกตั้งคือประชาธิปไตย รักประชาธิปไตยต้องไปเลือกตั้ง หรือเพราะมีการเลือกตั้งบ้านเมืองจึงเป็นประชาธิปไตย ขอบอก ณ ตรงนี้ว่า หากคิดได้เพียงเท่านี้บ้านเมืองไทยก็จะไม่มีวันเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงได้ อันที่จริงคนไทยรู้ดีว่าการเลือกตั้งส่วนใหญ่ของประเทศไทยขาวสะอาดหรือดำสกปรก เรื่องนี้คนไทยส่วนใหญ่รู้ดี การที่ผู้เขียนพูดเช่นนี้มิได้หมายความว่าจะต้องไม่มีการเลือกตั้งในประเทศไทย แต่เพราะต้องการให้ทุกภาคส่วนช่วยกันทำให้การเลือกตั้งของไทยขาวสะอาดปราศจากมลทิน หรือหากจะมีมลทินก็ขอให้มีน้อยที่สุด แล้วที่สำคัญคือขอให้คนไทยเลิกโกหกตัวเองเสียทีว่าคนที่มาจากการเลือกตั้งคือตัวแทนของปวงชนชาวไทย ถามว่าจะเป็นตัวแทนของปวงชนชาวไทยได้อย่างไร ในเมื่อคนที่ชนะการเลือกตั้งจำนวนมากในบ้านเราชนะการเลือกตั้งเพราะการซื้อเสียง และโกงการเลือกตั้ง
ผู้เขียนขอยกคำพูดของธีรยุทธ บุญมี (คงไม่ต้องอธิบาย ณ ที่นี้ว่าเขาคือใคร) ที่พูดเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2556 “ประชาธิปไตยเป็นการเมืองซึ่งเกิดจากการรับรู้และสำแดงพลังอำนาจของคนกลุ่มต่างๆ เพื่อขอแบ่งปันสิทธิในการมีกินมีอยู่ในการจัดการทรัพยากร ตัดสินชะตากรรมของตนและส่วนรวม เมื่อได้มาแล้วก็ต้องรักษาสิทธิเหล่านี้ของตนเองไว้ให้ได้ ในประเทศตะวันตกซึ่งเป็นแม่แบบประชาธิปไตยทั้งหลาย ก่อนการปฏิวัติประชาธิปไตยในอังกฤษ อเมริกา ฝรั่งเศส ในศตวรรษที่ 18 ทั้งขุนนาง ชนชั้นนำ ปัญญาชน ชาวบ้าน มีบทบาทในการต่อสู้เพื่อสิทธิของตนเองมาก่อนหน้าอย่างยาวนาน….. การต่อสู้เหล่านี้ส่วนใหญ่มักจะพ่ายแพ้ กองกำลังฝ่ายต่อต้านหรือชาวบ้านเสียชีวิตจำนวนมาก บางครั้งกองกำลังหลายพันคนถูกกวาดล้างจนหมดสิ้น เมื่อสิ่งที่ได้มาต้องแลกมาด้วยราคาที่แพงลิบลิ่วเช่นนี้ คนตะวันตกจึงเห็นคุณค่าของประชาธิปไตย พยายามรักษาให้มันทำงาน ให้มันดำรงความเป็นระบบที่ดีเอาไว้ จนไม่มีทหารหรือนักการเมืองคนใดกล้ามาเบี่ยงเบนหรือบิดเบือน นี่คือสิ่งที่เรียกว่าวัฒนธรรมประชาธิปไตยนั่นเอง แต่ในสังคมไทย หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ไม่มีใครได้ใช้ประชาธิปไตย นอกจากทหาร พลเรือน และนักการเมืองจำนวนหยิบมือ หรือเหตุการณ์ 14 ตุลาคม ในหมู่นักศึกษา ปัญญาชน ชนชั้นกลาง เสรีภาพของคนไทยเป็นเหมือนส้มหล่น ที่จะใช้กันอย่างเพลิดเพลิน เป็นโอกาสที่กลุ่มทุนไทยซึ่งปลดแอกจากทหารตำรวจเก็บเกี่ยวดอกผลจากมัน ไม่มีความพยายามจะรักษาให้ระบบการเมืองทำงานไปได้ หรือรักษาความเป็นระบบที่ตั้งไว้ได้ แต่กลับส่งเสริมสนับสนุนให้ทุนในการซื้อเสียง เมินเฉยเรื่องการขายเสียง”
สังคมไทยผ่านการเลือกตั้งต่างๆ นานามาแล้วไม่รู้กี่ร้อยครั้ง และสังคมไทยก็ผ่านการทำรัฐประหารมาแล้ว 13 ครั้ง ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง คนไทยรู้ดีว่าเต็มไปด้วยการซื้อสิทธิ์ขายเสียง แต่คนไทยก็ยอมรับมัน แม้บางคนบอกว่าไม่ยอมรับ แต่ก็ไม่เคยคัดค้านอย่างจริงจัง คนไทยส่วนมากมองว่านักการเมืองคือคนที่ไม่น่าไว้วางใจ ไม่น่าเชื่อถือ ไม่มีความซื่อสัตย์ แต่เมื่อนักการเมืองซื้อเสียง หรือใช้นโยบายการเมืองแบบประชานิยมซื้อเสียง คนไทยก็กลับยอมรับมัน แล้วยังเรียกร้องให้นักการเมืองโหมใช้นโยบายประชานิยมให้มากและมากยิ่งขึ้น แล้วสุดท้ายคนไทยก็กลับมาตีโพยตีพายว่านักการเมืองฉ้อโกง ทุจริตคอร์รัปชั่น เมื่อเห็นว่านักการเมืองโกงบ้านกินเมือง คนไทยก็ออกมาเดินขบวนขับไล่เสียทีหนึ่ง ส่วนนักการเมืองก็ใช้วิธีการม็อบชนม็อบเสมอมา แถมยังปลุกระดมให้คนไทยลุกขึ้นมาเข่นฆ่ากันเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ทหารซึ่งมีกำลังอาวุธสงครามอยู่ในมือก็ลุกขึ้นมาสำแดงเดช แล้วสุดท้ายทหารก็กลายเป็นนักการเมือง เมื่อเป็นนักการเมืองแล้วทหารก็โกงบ้านกินเมืองไม่ต่างไปจากนักการเมืองที่มาจากการโกงเลือกตั้ง เหตุการณ์เกิดขึ้นวนเวียนซ้ำซากซ้ำเดิมแบบนี้มาแล้วหลายทศวรรษ
แต่ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำๆ ซากๆ เช่นนี้อีกกี่ครั้ง คนไทยก็ดูเสมือนจะไม่มีการเรียนรู้ และไม่เคยจดจำ เมื่อปราศจากการเรียนรู้และปราศจากความสำนึกต่อประวัติศาสตร์การเมือง ภาพเก่าๆ ภาพเดิมๆ ของการเมืองที่เลวร้ายจึงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่มีวันจบ แล้วคนไทยก็ยังคงเพ้อหาประชาธิปไตยเรื่อยไป แต่เป็นการเพ้อหาที่เลื่อนลอย เพราะในความเป็นจริงแล้วประชาธิปไตยในความคิดของคนไทยจำนวนไม่น้อยคือ การได้ของฟรี การพึ่งพาผู้มีอำนาจรัฐ การใช้อำนาจรัฐเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง คนไทยจำนวนไม่น้อยหุบปากนิ่งเมื่อตนเองได้ผลประโยชน์ทั้งๆ ที่ผลประโยชน์นั้นไม่ชอบธรรม แต่จะโวยวายตีโพยตีพายทันทีเมื่อตนเองต้องเป็นผู้เสียสละ
ตราบใดก็ตามที่สังคมไทยยังคงเป็นเช่นนี้ ก็อย่าหวังเลยว่าประเทศไทยจะมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์แบบ ขอย้ำว่าประชาธิปไตยคือระบอบการปกครองของคนหน้าบาง มีความคิดเพื่อส่วนรวม และเสียสละเพื่อส่วนรวม แต่ถ้าหากยังมีนิสัยตะกละ ละโมบ ไม่เคยคิดอะไรที่ไกลเกินกว่าหัวแม่ตีนของตนเองแล้ว คำว่าประชาธิปไตยก็เป็นเพียงลมปากเท่านั้น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี